สมาคมธนาคารไทยมองมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐมาเร็ว จัดใหญ่ จัดเต็ม เป็นยาดีช่วยลดผลกระทบวิกฤติโควิด-19 ชี้เร่งช่วยด้านสาธารณสุข อาชีพ และปากท้อง เสถียรภาพเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน ชี้หากสถานการณ์สงบเร็ว กระทบจีดีพี 7.7% หากยืดเยื้อความเสียหายอาจรุนแรงขึ้น
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงิน ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SMEs และดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้เอกชน เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 7 เม.ย.63 ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจ ธปท.ออกซอฟต์โลน (Soft Loan) เพื่อดูแลภาคธุรกิจ พ.ร.ก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน ตลอดจน พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อการเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งรวมแล้วคือ มาตรการเยียวยาระยะที่ 3 ที่มีวงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาทนั้น ถือว่ามีทั้ง “ความสำคัญ” และ “ความจำเป็นอย่างยิ่ง”
ทั้งนี้ หากมองผลกระทบจากวิกฤติการระบาดของไวรัสในรอบนี้ สามารถประเมินเบื้องต้นเป็นเม็ดเงินสุทธิราว 1.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7.7% ของจีดีพี โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวรายได้หายไปถึง 1.1 ล้านล้านบาท อันจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสหดตัวลึกใกล้เคียงกับปี 2540 และอาจจะลึกกว่านั้น หากการระบาดไม่สามารถควบคุมได้ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งจะทำให้ผลกระทบในเชิงตัวเงินใหญ่ขึ้นอีก จนอาจจะแย่กว่าวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540
อย่างไรก็ตาม จุดแตกต่างที่สำคัญระหว่างวิกฤติการระบาดของเชื้อโควิด-19 กับวิกฤติปี 2540 คือ ในรอบนี้ทางการไทยออกมาตรการให้ความช่วยเหลือที่ “เร็ว” และมี “ขนาดใหญ่” เพื่อยับยั้งไม่ให้เหตุการณ์ทรุดลงแรงกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่ต้องจัดการเป็นลำดับแรกๆ คือ การจัดการด้านสาธารณสุขเพื่อยับยั้งการระบาดของโรค และดูแลผู้ป่วยในวงที่กว้างขึ้น รวมถึงการดูแลเรื่องอาชีพ และปากท้องของประชาชน ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มาตรการด้านการคลังจะเข้ามาเป็นกลไกหลัก ทำให้การอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน เพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านบาทเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องเร่งทำ เพื่อดึงงบประมาณจากหน่วยงานภาครัฐต่างๆมาเป็นทรัพยากรเพิ่มเติมสำหรับตอบวัตถุประสงค์ข้างต้น หลังจากที่งบกลางเดิมได้จัดสรรไปหมดแล้ว
ในอีกด้านหนึ่ง การดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจ ตลาดการเงินก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า เพราะปัจจุบันตลาดการเงินไทยเชื่อมโยงกับต่างประเทศมากขึ้นกว่าปี 2540 มาก ทำให้ความตื่นตระหนก ไม่ว่าจะจากทั้งในและต่างประเทศก็สามารถฉุดให้อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนในตลาดการเงินปรับตัวแรง จนกระทบความมั่นคงต่อระบบสถาบันการเงิน ตลอดจนสถานะทางการเงินลูกค้าธุรกิจ และครัวเรือนได้ โดยการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ และตลาดการเงินนี้ ถือเป็นหน้าที่ของมาตรการด้านการเงิน ซึ่งควรเร่งอุดรูรั่ว และเร่งสร้างความเชื่อมั่นของตลาดก่อนเป็นอันดับแรก
ดังนั้น มาตรการ 900,000 ล้านบาท ในรอบนี้จึงจำเป็นต้องพุ่งเป้าหมายไปที่การจัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลตลาดตราสารหนี้เอกชนที่มีขนาดใหญ่ราว 22% ของจีดีพี ซึ่งจะช่วยทั้งตัวกิจการที่ต้องการระดมทุนไปชำระคืนหนี้เดิม และเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ รวมถึงช่วยผู้ลงทุนสถาบันและรายย่อย ซึ่งต้องยอมรับว่าในระยะหลังผู้ฝากเงินรายย่อยหันมาออมเงินทั้งทางตรง และทางอ้อมในตราสารหนี้มากขึ้น
นอกจากนี้ ความช่วยเหลือในครั้งนี้ยังประกอบด้วยมาตรการช่วยภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่ครอบคลุมกว่า 99% ของจำนวนกิจการทั้งหมด และการจ้างงานกว่า 85% ของการจ้างงานทั้งประเทศ หรือกว่า 13 ล้านคน ผ่านการให้ซอฟต์โลนเพิ่มเติม นอกเหนือไปจากการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแบบอัตโนมัติ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คาดหวังว่าการต่อลมหายใจทางธุรกิจจะช่วยพยุงจ้างงานและกลไกของห่วงโซ่ธุรกิจบางส่วนให้พอเดินต่อไปได้ ในระหว่างที่ทุกคนรวมพลังอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติได้
“ผมเชื่อมั่นว่าการดำเนินการต่างๆทั้งด้านการเงิน และการคลังของภาครัฐน่าจะทำให้การหดตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้อยู่ในขอบเขตจำกัด และไม่น่าจะลุกลามจนกลายเป็นวิกฤติที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แม้ว่าในที่สุดแล้ว สถานการณ์ต่างๆจะยังคงขึ้นอยู่กับว่าการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะยุติลงเมื่อใด แต่ก็เชื่อว่าหากมีความจำเป็น ทางการไทยยังมีทรัพยากรอีกมากเพียงพอที่จะประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤติครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน”.