สถานการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ได้กลายเป็น “ปัจจัยเร่ง” ให้เศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแออยู่แล้วเข้าขั้นวิกฤติเร็วขึ้น หนักเสียยิ่งกว่าวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ มียอดคนตกงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แถมยังพิมพ์เงินดอลลาร์อีกมหาศาลเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ พร้อมลดดอกเบี้ยลงแบบ “ฉุกเฉิน” เหลือร้อยละ 0.00-0.25 ต่อปี และตามด้วยอีกหลายประเทศ รวมทั้งไทยที่ลดดอกเบี้ยฉุกเฉินเช่นกัน
ตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดน้ำมัน ตลาดทองคำ ตลาดตราสารหนี้ ทุกอย่างระส่ำระสาย สืบเนื่องจากความ “กลัว” และ “ความไม่มั่นใจ” ในอนาคต ซึ่งไม่มีใครทราบได้ว่า โควิด-19 จะจบลงเมื่อใด ขณะที่ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์กลายเป็นสิ่งที่คนเริ่มไม่อยากสัมผัส หลังองค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่านั่นอาจจะเป็นพาหะของเชื้อไวรัสได้ แต่หากหันมาใช้การชำระเงินทางออนไลน์ ก็น่าจะปลอดภัยมากกว่า
ท่ามกลางวิกฤติสุขภาพจากโควิด-19 ที่ลุกลามไปยังระบบเศรษฐกิจโลก หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่าประเทศจีน กำลังเร่งทดสอบสกุลเงินดิจิทัลประจำชาติอยู่ หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ดิจิทัลหยวน” ลึกๆ จีนก็ต้องการนำมาต่อกรกับสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจากข่าวที่ออกมาจีนซุ่มเตรียมการประมาณ 5 ปีแล้ว ขณะที่ธนาคารกลางในอีกหลายประเทศ ทยอยประกาศโครงการสร้างเงินดิจิทัล เช่น เกาหลี “เงินวอนดิจิทัล”, ฝรั่งเศส “ยูโรดิจิทัล”, ญี่ปุ่น ศึกษา “เยนดิจิทัล”, กัมพูชา เตรียมเปิดตัว "บากอง" ส่วนไทยทดสอบภายใต้โครงการ “อินทนนท์” เป็นต้น
ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าแนวโน้มการมาของสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency เกิดขึ้นทั่วโลก แม้กระทั่งในประเทศไทย ปัจจุบันก็มีการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลอย่างถูกกฎหมายภายใต้ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561 ยิ่งในช่วงวิกฤติโคโรนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลก ต่างก็ออกมาแสดงมุมมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) จะยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็น Cryptocurrency หรือ Digital Token และวิกฤตินี้จะเป็นสิ่งที่เร่งให้คนปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายในระบบการชำระเงินเป็นแบบดิจิทัลมากขึ้น
“Digital Token” จึงเป็นกระแสการลงทุนที่น่าจับตา นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่นอกเหนือจาก Cryptocurrency อย่างเช่น บิตคอยน์ อีเธอเรียม ซึ่งวันนี้จะพาไปรู้จักกับ Digital Token โดยจะอ้างอิงนิยามตามกฎหมายของไทย คือ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561
โทเคนดิจิทัล หรือ Digital Token หมายถึง หน่วยอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างเพื่อ "กำหนดสิทธิ" แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
ประเภทแรก "สิทธิในการร่วมลงทุน" เรียก โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (investment token) โทเคนชนิดนี้จะคล้ายๆ กับ "หุ้น" (แต่ไม่ใช่หุ้น) สมมติมีคนออกขายโทเคนประเภทนี้เมื่อเราซื้อ ก็จะได้สิทธิต่างๆ จากการถือโทเคน เช่น ส่วนแบ่งรายได้ ผลกำไร พูดง่ายๆ ว่าโทเคนที่เราซื้อนั้น ทางผู้ขายจะบอกเงื่อนไขว่า ซื้อแล้วเราจะได้ส่วนแบ่งอะไร เท่าไหร่ อย่างไร นั่นเอง
ซึ่งในปัจจุบัน กฎหมายของไทยพร้อมแล้ว และทางผู้ให้บริการออกโทเคนก็พร้อมแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานคนไทยน่าจะได้เห็นโทเคน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ทางเลือกจากโลกดิจิทัลออกสู่ตลาด ทำให้คนไทยมีตัวเลือกการลงทุนมากขึ้นกว่าในอดีต และสอดรับกับยุคสมัยของศตวรรษแห่งอินเทอร์เน็ต
ประเภทที่สอง "สิทธิในการได้รับสินค้าหรือบริการ" เรียก โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (utility token) อันนี้ให้นึกถึงคูปองต่างๆ มันมีความคล้ายกับการถือคูปองในฟาสต์ฟู้ด คนขายคูปองจะบอกว่าเราได้สิทธิในการรับก๋วยเตี๋ยว 5 ชาม รับข้าวผัด 5 จาน หากเรามีคูปองในมือ 10 หน่วยมาแลก เป็นต้น
จากที่อธิบายไปข้างต้นจะสังเกตได้อย่างหนึ่งว่า Digital Token จะกำหนดสิทธิผู้ถือว่า เมื่อคุณมีในครอบครอง คุณจะได้อะไรบ้าง คล้ายๆ กับว่าเราสามารถจับต้องได้เป็นน้ำเป็นเนื้อมากกว่า Cryptocurrency ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอีกประเภทหนึ่ง ที่มีไว้เพียงแค่เก็งกำไร แต่ไม่มีส่วนแบ่งอะไรให้จากการถือ เพราะใช้แค่แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (ดังนั้น ถ้าได้ยินคำว่า Cryptocurrency ก็อย่าเผลอไปเหมารวมว่าเป็น Digital Token)
ยิ่งเป็น "โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน" หรือ Investment Token นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการถือหุ้นห่านทองคำดีๆ นี่เอง (หากโทเคนตัวนั้นมีพื้นฐานรองรับที่ดี โครงการมีคุณภาพ มีกระแสเงินสดดี) กล่าวคือ เราจะมีสิทธิได้ส่วนแบ่งกำไรจากที่โครงการลงทุน หรืออาจจะได้ปันผลด้วยก็เป็นได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
“Digital Token” จึงนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ลงทุนในยุคใหม่ ที่ต้องการแสวงหาการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก นอกเหนือจากสินทรัพย์แบบดั้งเดิมที่เคยรู้จักกันมานานอย่าง หุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนทองคำ เป็นต้น ผู้ลงทุนควรจะศึกษาเรื่องเหล่านี้ไว้ อย่างน้อยก็จะได้มีความรู้ ที่สำคัญเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง จะได้ไม่เสียเหลี่ยม ให้พวกมิจฉาชีพที่แฝงมาในคราบของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
วิกฤติโควิด-19 จะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่เร่งการเผาไหม้ระบบเศรษฐกิจท่ามกลางความหวาดกลัวของผู้คน เงินสดที่เคยมีค่าเพราะสหรัฐฯ เป็นคนบอกว่ามันมีค่าแต่ทว่าเวทมนตร์นั้นกำลังเสื่อมลง ไม่ต่างอะไรกับที่คนเริ่มเอือมกับคำพูดของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้คนเริ่มมองหาโอกาสใหม่ๆ จากการลงทุน และการเก็บรักษาสินทรัพย์ ภาพในระดับโลกเงินเริ่มไหลเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลทั้งลงทุน และเก็งกำไร แต่ไม่ว่าแบบใดมันสะท้อนว่า “สินทรัพย์ดิจิทัล” คือสินทรัพย์ทางเลือกในศตวรรษที่ 21 !