นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า หลังเกิดกรณีบริษัทจดทะเบียนผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้น (บี/อี) และยังไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้จำนวน 4 บริษัท คิดเป็นเงินที่ผิดนัดชำระ 3,755 ล้านบาท หรือ 0.12% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีมูลค่ารวม 3.2 ล้านล้านบาท และยังมีตั๋วบีอีอีกจำนวนหนึ่งที่เตรียมครบกำหนดชำระอีก 10,498 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 0.48% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชน จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักลงทุนสนใจซื้อหรือเลือกลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะมีความเสี่ยงน้อยกว่า และประเมินความเสี่ยงได้ ทำให้บริษัทที่ต้องการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์มาออกตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ระยะยาว และตราสารหนี้ระยะสั้นที่ได้รับการจัดอันดับ และทำให้มูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะสั้นในช่วงครึ่งปีแรกลดลง 7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม มูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะยาวได้ปรับเพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าหรือทำได้ 326,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 224,000 ล้านบาท โดยเฉพาะมีการออกเพิ่มขึ้นในหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต BBB+ ถึง BBB- โดยเพิ่มขึ้น 109% จากปีก่อนหน้าจาก 42,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 88,000 ล้านบาทในปี 60 รองลงมาคือ ตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับที่ A+ ถึง A- เพิ่มขึ้น 51% สวนทางกับมูลค่าการออกตั๋วบีอีที่ลดลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีมูลค่าการออกอยู่ที่ 257,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 267,000 ล้านบาท สำหรับเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าลงทุนตราสารหนี้ไทยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 14 ก.ค. พบว่ามีสถานะซื้อสุทธิสูงถึง 79,231 ล้านบาท ส่วนใหญ่เข้ามาซื้อตราสารหนี้ระยะยาว มองว่าไม่ใช่การเข้ามาซื้อเพื่อเก็งกำไร.