TRUE ประกาศความเชื่อมั่นในการสร้างกำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) ให้กลับมาเป็นบวกได้ หลังคาดว่ากระบวนการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2568 ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/67 ก็สะท้อนการเติบโตที่แข็งแกร่งของกำไร EBITDA ที่มีการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 7
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้หุ้น TRUE ได้รับการประเมินเชิงบวกจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ที่คาดการณ์ราคาเป้าหมายเฉลี่ยไว้ที่ 13.50 บาทต่อหุ้น ขณะเดียวกัน ผู้บริหาร TRUE ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติก็ได้ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตด้วย สะท้อนจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนผ่าน NVDR ในปัจจุบันเป็น 61.61% จากเดิม 58%
นกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TRUE กล่าวว่า บริษัทคาดว่าปี 2568 ผลประกอบการจะสามารถทำกำไรสุทธิหลังหักภาษีพลิกกลับมาเป็นบวกได้ จากการรับรู้ผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยแล้วเสร็จ พร้อมทั้งรับรู้ประโยชน์จากการควบรวมกิจการ
ปัจจุบันบริษัทได้ดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยไปแล้วมากกว่า 10,800 สถานี จากเป้าหมายทั้งหมด 17,000 สถานี ด้วยงบลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3/67 กำไร EBITDA เติบโตเป็นไตรมาสที่ 7 ติดต่อกัน นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และมีการเติบโตของรายได้ทั้งในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และออนไลน์
สำหรับราคาหุ้น TRUE ปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดหุ้นไทย หากนับจากต้นปี 2567 พบว่าราคาหุ้น TRUE ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 135% ขณะที่ SET เพิ่มขึ้น 2.6%
ทั้งนี้ หลังจากที่ผลประกอบการไตรมาส 3/67 ออกมาแข็งแกร่ง พบว่า นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้เป้าหมายเฉลี่ย 13.90 บาท สะท้อนว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อในอนาคต
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติให้ความเชื่อมั่นต่อทิศทางผลประกอบการในอนาคต และสนใจลงทุนเพิ่มต่อเนื่อง สะท้อนจากสัดส่วนเม็ดเงินลงทุนผ่าน NVDR ณ วันที่ 25 ต.ค. 67 ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 61.61% จากวันที่ 3 มี.ค. 66 อยู่ที่ 58%
นกุล เซห์กัล กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มในปี 2567 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) เติบโต 4-5% และ EBITDA จะเติบโต 12-14% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ขณะที่แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) รวมถึงการลงทุนเพื่อการควบรวมกิจการยังคงอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2567 จะยังคงมีกำไรหากไม่รวมการตัดจำหน่ายสินทรัพย์เครือข่ายที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย
ส่วนในไตรมาส 4/67 เชื่อว่าแนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี และมักเป็นไตรมาสที่รายได้จะสูงที่สุดจากปัจจัยฤดูกาล ประกอบกับมาตรการรัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคภาคเอกชนจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญด้วย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney