ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นจุดสนใจของนักลงทุนในปีนี้ โดยผู้บริหาร เจ.พี.มอร์แกน ประเทศไทย (J.P. Morgan Thailand) ชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์จากการลงทุนในภูมิภาค รวมถึงการลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยเสริมตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ โครงการ Entertainment Complex จะทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยน่าสนใจอีกครั้ง ในขณะที่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่กำลังวางแผนขยายการลงทุนในไทยนั้นจะช่วยสร้างความน่าสนใจให้เพิ่มขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียโดยตรง
นอกจากนี้ เจ.พี.มอร์แกน ยังมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยโฟกัสผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ที่ตอบโจทย์นักลงทุนไทยทั้งรายย่อยและรายสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นตราสารอนุพันธ์ เดลต้าวัน และธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจในศักยภาพและการเติบโตของตลาดการเงินไทยในอนาคต
มาร์โค สุจริตกุล เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสประจำประเทศไทย เจ.พี.มอร์แกน ประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม แม้สภาพเศรษฐกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาสู่ตลาดในภูมิภาคมากขึ้น จากนโยบายของจีน ขณะเดียวกันยังได้แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง (VAYU1) ด้วย
หากประเมินไปข้างหน้า ประเทศไทยยังมี “Entertainment Complex” ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ เนื่องจากเรามีพื้นฐานที่ดี และเก่งด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงมีความได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
พร้อมกันนี้ ประเทศไทยมีการขยายการลงทุนด้าน Data Center จากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ถือเป็นกลุ่มที่น่าลงทุน
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาต่อไปว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะหากดูนโยบายของ 2 พรรค ทั้งเดโมแครตและริพับลิกันนั้น ยังไม่มีการประกาศนโยบายที่ชัดเจนมากนักในการแข่งขันครั้งนี้ แต่ที่เห็นได้คือวิธีการดีลกับประเทศจีนแตกต่างกันมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในภูมิภาคเอเชีย
“สำหรับผมตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน หากเราดูครึ่งปีแรก นักลงทุนต่างชาติขายออกเยอะ แต่ปัจจุบันเริ่มกลับเข้ามาซื้อแล้ว แม้ไม่ได้เข้ามาเต็มพิกัด เนื่องจากกำลังรอดูหลายปัจจัย ทั้งการเลือกตั้งสหรัฐ รวมถึงดอกเบี้ยนโยบายจากทั้งแบงก์ชาติและเฟด ว่าจะมีการปรับลดอีกหรือไม่” มาร์โค กล่าว
มาร์โค กล่าวอีกว่า เจพีมอร์แกน ยังมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการให้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน ทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย ให้เข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ที่เป็นตัวเลือกในการลงทุนมากขึ้น
ปัจจุบัน เจพีมอร์แกน โฟกัสที่การให้บริการ 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ตราสารอนุพันธ์ หรือ Derivative Warrant (DW), เดลต้าวัน หรือ อนุพันธ์ทางการเงินที่มีเดลต้าเป็นหนึ่ง และธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ ผ่าน เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ (JPMAM)
ด้าน อายาซ อิบราฮิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำประเทศสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของ เจ.พี.มอร์แกน แอสเซท แมเนจเม้นท์ กล่าวว่า ในเชิงของธุรกิจในประเทศไทย เจ.พี.มอร์แกน ได้พัฒนาธุรกิจผ่าน JPMAM มาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีมาร์เก็ตแชร์เติบโตมาอยู่ที่ระดับ 13% ในไทย ส่วนมากลูกค้าเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และลูกค้าสถาบัน
ขณะเดียวกัน เราได้เป็นผู้บุกเบิกในการนำผลิตภัณฑ์ “Active ETF” เข้ามาให้บริการในเมืองไทย ซึ่งเป็น ETF ที่มีนโยบายลงทุนเชิงรุก ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าดัชนีชี้วัด โดยปีนี้ได้เปิดตัวไป 2 สินทรัพย์ที่อิงกับดัชนีหุ้นโลก อย่างไรก็ตาม Active ETF จะเป็นสิ่งที่เราต้องการพัฒนาเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อขึ้นสู่ผู้นำการให้บริการดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2567 ได้มีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (KAsset) ในประเทศไทย เพื่อนำเสนอโซลูชั่นการลงทุนให้กับผู้ลงทุนไทย ทั้งการให้บริการนวัตกรรมการเงิน การกระจายความเสี่ยง รวมถึงมุมมองการลงทุนเชิงลึก และหวังว่าจะได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ ร่วมกันในอนาคตด้วย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้