ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนเริ่มให้ความสำคัญกับการควบรวมกิจการ (M&A) และการปรับโครงสร้างมากขึ้นต่อเนื่อง จากการเติบโตของธุรกิจหลักในหลายอุตสาหกรรมเริ่มชะลอตัว ทำให้บริษัทต่าง ๆ มองหา New S-Curve ใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญธุรกิจวาณิชธนกิจ เปิดเผยว่า บริษัทได้เสริมทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน M&A เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยในขณะนี้มีดีลในมือถึง 8-10 ดีล ซึ่งแต่ละดีลมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท
ดร.วีรพัฒน์ เพชรคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน ผ่านการปรับโครงสร้างและการควบรวมธุรกิจ (M&A) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมองว่าหลายบริษัทมีทุนในการขยายธุรกิจ ขณะที่ธุรกิจเดิมที่ทำอยู่อาจจะเติบโตช้า จึงสนใจแนวทางการเข้าซื้อกิจการ หรือการเปลี่ยนธุรกิจเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโต
ขณะเดียวกัน บางบริษัทก็มีแนวคิดในการขายบางธุรกิจเดิมออกไป (Divest) เช่นกัน ซึ่งหลายบริษัทก็พยายามหารูปแบบการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ หรือ New S-Curve เป็นเทรนด์ทางธุรกิจในช่วงหลัง เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมยา
ดังนั้น ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจ บล.ทรีนีตี้ มีการเพิ่มทีมวาณิชธนกิจที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ด้านการควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งมีฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ อินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และในประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งขณะนี้มีดีล M&A ในมือแล้ว 8-10 ดีล มูลค่าดีลละไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท ครอบคลุมในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่เป็นดีลที่บริษัทต่างชาติสนใจลงทุนและขยายธุรกิจในประเทศไทย
นอกจากนี้ บริษัทจะรุกธุรกิจการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเน้นดีลที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท ขณะนี้มีดีลในมือประมาณ 13-14 ดีล ซึ่งจะทยอยเข้าจดทะเบียนในปี 2567-2568 ซึ่งดีลใหญ่ที่จะเห็นได้เร็วที่สุด คือการเข้าไอพีโอของ “บมจ.โรงพยาบาลนครธน” คาดจะสามารถเข้าเทรดได้ภายในปีนี้
ดร.วีรพัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทจะใช้โอกาสที่ตลาดหุ้นมีการฟื้นตัว เตรียมความพร้อมด้านธุรกิจค้าหลักทรัพย์อย่างเต็มที่ มีการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เก็ตติ้ง) ทั้งหุ้นและ TFEX โดยเฉพาะในฝั่ง TFEX เรามีการขยายฐานลูกค้าจนปัจจุบันสามารถสร้างมาร์เก็ตแชร์ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 4-5 เท่า
ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด หรือ มาร์เก็ตแชร์ ในด้านของปริมาณการซื้อขายในตลาด TFEX ได้เป็น 2-3% จาก 0.2% โดยตั้งเป้าหมายให้ติด 1 ใน 5 อันดับแรกภายในปีหน้า จากการปรับปรุงและพัฒนาระบบ รวมถึงทำการตลาดมากขึ้น
ขณะที่ทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2567 คาดว่าผลดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก จากสัญญาณการฟื้นตัวของตลาดหุ้นทำให้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนคึกคัก และนักลงทุนเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นมากขึ้นอีกครั้ง โดยเชื่อว่าอุตสาหกรรมของธุรกิจหลักทรัพย์ได้พ้นจุดต่ำสุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าฐานรายได้ของฝั่งธุรกิจวาณิชธนกิจและธุรกิจหลักทรัพย์ จะเติบโตไปควบคู่กัน ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้ของบริษัทจะมาจากธุรกิจวาณิชธนกิจ 50% และรายได้จากค่าธรรมเนียมการเทรด 30-40%
สำหรับภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทย ประเมินว่าจะปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยคาดเป้าหมายไว้ที่ 1,480 จุด จากปัจจัยลบน้อยลง การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน TESG และกองทุนรวมวายุภักษ์ด้วย โดยคาดว่าหุ้นขนาดใหญ่, มีสภาพคล่องสูง, ESG ในระดับดี และมีปันผล จะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินดังกล่าว เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร
ดร.วีรพัฒน์ เล่าต่อว่า ในส่วนของการออกตราสารหนี้ บริษัทมีการเพิ่มทีมตราสารหนี้ และปรับกลยุทธ์การออกตราสารหนี้ ให้มีระดับความเสี่ยงที่หลากหลาย และเน้นการเลือกออกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี เพื่อเป็นทางเลือกกับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น
โดยปีนี้คาดว่าจะเป็นที่ปรึกษาในการออกตราสารหนี้ จำนวน 20-22 ดีล ขณะเดียวกัน ประเมินว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนเริ่มกลับมาแล้ว สะท้อนจากดีลตราสารหนี้ที่ปัญหามีแนวโน้มลดลง
ในส่วนของธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคล บริษัทมีกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้า โดยจะเข้าร่วมเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุนให้มากขึ้น จากปัจจุบันเป็นตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนจำนวน 14 บลจ. พร้อมตั้งเป้าที่จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) อยู่ที่ 3,200 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2,400 ล้านบาท ซึ่งคาดหวังว่าจะได้เห็นรายได้จากการขายกองทุนที่ปรับตัวดีขึ้นในอนาคต
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้