อยากจองหรือเปล่า หุ้น OKJ “โอ้กะจู๋" เคาะไอพีโอ 6.70 บาท พร้อมขาย P/E 24 เท่า

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

อยากจองหรือเปล่า หุ้น OKJ “โอ้กะจู๋" เคาะไอพีโอ 6.70 บาท พร้อมขาย P/E 24 เท่า

Date Time: 18 ก.ย. 2567 11:53 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ เจ้าของบรนด์ “โอ้กะจู๋” เคาะราคาขายไอพีโอ 6.70 บาทต่อหุ้น เตรียมเสนอขายวันที่ 23-25 กันยายนนี้

Latest


เคาะราคาเสนอขายไอพีโอเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ ผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” โดยกำหนดราคาเสนอขายต่อประชาชนที่ 6.70 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 24.13 เท่า


โดย “โอ้กะจู๋” จะเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 159 ล้านหุ้น หรือ 26.10% ของหุ้นทั้งหมด เพื่อระดมทุน 1,023.9 ล้านบาท สำหรับการขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ ร้าน Ohkajhu Wrap & Roll และ ร้าน Oh! Juice รวมถึงการขยายธุรกิจหรือแบรนด์ใหม่ๆ ด้วย พร้อมแผนการก่อสร้างครัวกลางแห่งใหม่ และลงทุนและพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์เพิ่มเติม


เปิดที่มาราคาไอพีโอ 6.70 บาท


บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (มหาชน) หรือ OKJ ระบุในหนังสือชี้ชวนว่า บริษัทจะเสนอขายหุ้นไอพีโอไม่เกิน 159 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.10% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ ในครั้งนี้ ที่ราคาเสนอขาย 6.70 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าการเสนอขายไม่เกิน 1,065 พันล้านบาท โดยกำหนดระยะเวลาการเสนอขายวันที่ 23-25 กันยายน 2567


โดยการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ได้มีการพิจารณาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ซึ่งเป็นวิธีการสอบถามปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของนักลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา โดยการตั้งช่วงราคา (Price Range) ในระดับต่างๆ กัน แล้วเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันแจ้งราคาและจำ นวนหุ้นที่ประสงค์จะจองซื้อมายังผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย


ทั้งนี้ บริษัทฯ ร่วมกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายได้กำหนดราคาหุ้นสามัญที่จะเสนอขายในครั้งนี้ที่ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น โดยได้พิจารณาจากราคาและจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันเสนอความต้องการซื้อเข้ามา


โดยเป็นราคาที่จะทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินตามจำนวนที่ต้องการ และยังมีความต้องการซื้อหุ้นเหลืออยู่มากพอในระดับที่คาดว่าจะทำให้ราคาหุ้นมีเสถียรภาพในตลาดรอง


การเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในครั้งนี้ที่ราคา 6.70 บาทต่อหุ้น หากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 - วันที่ 30 มิถุนายน 2567) ซึ่งเท่ากับ 169.08 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ หลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully Diluted) ซึ่งเท่ากับ 609 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.28 บาทต่อหุ้น จะคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 24.13 เท่า


ในการพิจารณาข้อมูลประกอบการประเมินราคาหุ้นที่เสนอขาย บริษัทฯ ได้ทำ การเปรียบเทียบข้อมูลทางการเงินกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยพิจารณาจากบริษัทที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่คล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ โดยบริษัทที่นำ มาเปรียบเทียบ มีดังนี้

  1. บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น AU มี P/E ที่ระดับ 30.5 เท่า
  2. บริษัท มากุโระ จำ กัด (มหาชน) หรือหุ้น MAGURO มี P/E ที่ระดับ 31 เท่า


อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานดังกล่าว คำนวณจากฐานะทางการเงินในอดีต โดยที่ยังมิได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานหรือความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ในปัจจุบันและอนาคต และไม่ได้เป็นอัตราส่วนที่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้โดยตรง เนื่องจากเป็นการคำนวณอัตราส่วนในช่วงเวลาที่ต่างกัน ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาประกอบการตัดสินใจในการลงทุน


ระดมทุนพันล้าน ขยายธุรกิจเพิ่มสาขา-สร้างครัวกลาง


บริษัทฯ ประมาณการว่าจะได้รับเงินจากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ (ภายหลังหักค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหลักทรัพย์) จำ นวนประมาณ 1,023.9 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์การใช้เงินดังนี้

  1. ขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง การขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋ ร้าน Ohkajhu Wrap & Roll และ ร้าน Oh! Juice และ/หรือการขยายสาขาสำ หรับธุรกิจหรือแบรนด์ใหม่ๆ การ ปรับปรุงสาขา และขยายช่องทางการจำหน่ายของบริษัทฯ ประมาณ 753.9-758.9 ล้านบาท
  2. ลงทุนในการก่อสร้างครัวกลางแห่งใหม่ และการพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์ รวมถึงห้องล้างผัก และเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ระบบการบริหารจัดการวัตถุดิบสินค้าคงเหลือ ระบบการขนส่ง และสำนักงาน เป็นต้น ประมาณ 190-230 ล้านบาท
  3. ลงทุนและพัฒนาเครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบสาธารณูปโภค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเพาะปลูก ซึ่งรวมถึงการสร้างสถานที่ที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพผลผลิต (In-house lab) เป็นต้น ประมาณ 30-35 ล้านบาท
  4. ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ประมาณ 0-50 ล้านบาท

 

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์