GIC กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย เข้าซื้อหุ้น TOP “ไทยออยล์” ถือทะลุ 5%

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

GIC กองทุนรัฐบาลสิงคโปร์ เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย เข้าซื้อหุ้น TOP “ไทยออยล์” ถือทะลุ 5%

Date Time: 27 ส.ค. 2567 12:41 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

Summary

  • ตลาดหุ้นไทยเริ่มอยู่ในสปอตไลท์ของการลงทุนอีกครั้ง เมื่อ GIC PRIVATE LIMITED กองทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่เคยลดน้ำหนักในตลาดหุ้นไทยในช่วงปี 2565 เริ่มกลับมามีบทบาทในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น โดยเริ่มทยอยเข้าเก็บหุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โดยล่าสุดมีสัดส่วนการถือครองเกิน 5% ของหุ้นทั้งหมดแล้ว

Latest


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ก.ล.ต. รายงานว่า GIC PRIVATE LIMITED ได้เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาในหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) คิดเป็น 0.0264% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 5.0054% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ทั้งนี้ GIC PRIVATE LIMITED หรือ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของรัฐบาลสิงคโปร์ หรือที่ถูกเรียกว่า Sovereign Wealth Fund (SWF) ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานบริหารกองทุนสำรองระหว่างประเทศ ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศทั่วโลก และเป็นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของเมืองไทย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเคยถือหุ้นไทยมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท มากกว่า 9 หลักทรัพย์

ก่อนที่บริษัทได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงปี 2565 GIC ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนด้วยการเทขายหุ้นอย่าง OR, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR, บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM, บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ออกจากพอร์ต

โดยปัจจุบัน GIC ถือหุ้นไทยทั้งสิ้น 2 หลักทรัพย์ มูลค่ากว่า 6.4 พันล้าน ได้แก่ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ประมาณ 576 ล้านบาท และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP มูลค่า 576 ล้าน

สำหรับทิศทางผลประกอบการของ TOP นั้น บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า กำไรปกติไตรมาสที่ 3 ฟื้นตัว แต่มีความไม่แน่นอนจากผลกระทบสต๊อกน้ำมัน ภาพรวมเรามองว่ากำไรสุทธิไตรมาสที่ 2 ของปี 67 ของ TOP ประคองตัวได้ดีกว่าคู่แข่งจากกำไรพิเศษ, กำไรสต๊อกน้ำมัน และธุรกิจอะโรมาติกส์ช่วยชดเชยธุรกิจการกลั่นที่ชะลอตัว สำหรับครึ่งปีหลังประเมินผลการดำเนินงานหลักธุรกิจโรงกลั่นฟื้นตัวจากไตรมาสที่ 2 เพราะ
1) ไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงทำให้อัตราการกลั่นจะอยู่ระดับสูง 112-113%
2) Crack Spread มีทิศทางฟื้นตัวจากอุปสงค์ Heating Oil
3) ต้นทุนน้ำมันมีแนวโน้มลดลงตามทิศทาง Murban Premium และค่าขนส่ง

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิมีความไม่แน่นอนจากการปรับฐานของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาทำให้เกิดความเสี่ยงขาดทุนสต๊อกน้ำมัน ดังนั้น แม้กำไรสุทธิช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็น 77% ของทั้งปี แต่เราคงประมาณการปี 2567 ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ลดลง 24%.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์