นักลงทุนต่างจับตากรณี ทักษิณ ชินวัตร กล่าวปาฐกถาในงาน "Dinner Talk Vision for Thailand 2024" โดย NATION TV โดยได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้รัฐบาลใหม่นำไปพิจารณา โดยเน้นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่สูง และการกระจายเงินผ่านโครงการ Digital Wallet เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานราก
ด้านนักวิเคราะห์ฯ เปิดลิสต์กลุ่มหุ้นได้ประโยชน์ ชี้ประเด็นสำคัญคือ มาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การปรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว พร้อมจับตาการศึกษาแผนการขยายกองทุนวายุภักษ์
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทักษิณ ชินวัตร แสดงวิสัยทัศน์มุมมองต่อเศรษฐกิจไทยและแนวทางการแก้ปัญหา นับเป็นครั้งแรกที่ “ทักษิณ” ปรากฏตัวร่วมงานปาฐกถาหลังเดินทางกลับไทยในรอบ 17 ปี
การกล่าวปาฐกถาครั้งนี้ ทักษิณ ไม่ได้พูดถึงเศรษฐกิจไทยแบบภาพรวม แต่ยกประเด็นปัญหาเป็นเรื่องๆ และข้อเสนอแนะที่ฝากให้รัฐบาลใหม่นำไปพิจารณา ซี่งเนื้อหาส่วนใหญ่ไม่ได้มีอะไรใหม่จากที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
1.หนี้ครัวเรือนที่สูง ต้องปรับโครงสร้างหนี้ผ่าน AMC ของรัฐ ปัญหาหลักเศรษฐกิจไทยปัจจุบันคือ หนี้ครัวเรือนที่สูง โดยหนี้สาธารณะไม่น่าเป็นห่วง เพราะถ้าทำให้ GDP โตได้ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะลดลง แต่ปัญหาหนี้ครัวเรือนน่าเป็นห่วง ต้องแก้หนี้ภาคครัวเรือน ฟื้นเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานราก โดยความร่วมมือจาก 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ไทย
ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ รัฐบาลจะซื้อหนี้เสียจากแบงก์ กลับมาบริการเองผ่านบริษัทบริหารสินทรัพย์ของรัฐ โดยให้ราคาที่สูงกว่ามูลหนี้หลังตั้งสำรองไปแล้ว เพื่อให้แบงก์ไม่ขาดทุน ส่วนความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย มี 2 เรื่องคือ การลดดอกเบี้ย และพิจารณาลดเงินจ่ายเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) (จะไม่ได้มีการบังคับ)
กรณีที่ทำได้เรามองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์จาก NPL ลดลงและเป็นลบต่อกลุ่ม AMC เช่น BAM, JMT, CHAYO ที่จะมีผู้แข่งขันเพิ่มมากขึ้น
2.Digital Wallet แจกกลุ่มเปราะบาง-คนพิการ (14.5 ล้านคน) ก่อนเป็นเงินสดเดือน ก.ย.นี้ แนะนำไม่ให้ยกเลิกโครงการ digital wallet ถึงแม้จะมีคนไม่เห็นด้วยเยอะ เนื่องจากมีประโยชน์มาก แต่จะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม โดยแบ่งการแจกเป็น 2 ช่วงคือ
แจกงวดแรกเดือน ก.ย. 2567 ใช้งบประมาณปี 2567 1.26 แสนล้าน + งบกลาง 2 หมื่นล้าน รวมเป็น 1.45 แสนล้านบาท แจกให้กลุ่มเปราะบางและคนพิการ (13.5ล้านคน + 5แสน) ให้คนละ 1 หมื่น เป็นเงินสด แต่จะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจมาก เพราะจะเอาไปจ่ายหนี้เป็นหลัก และงวดที่สอง หลังเดือน ต.ค. 2567 (งบประมาณปี 2568 ออก) และเมื่อ app digital wallet เสร็จ ให้ประชาชนที่คุณสมบัติพร้อมอีก 30+ล้านคน (ต้องดูว่าเหลืองบประมาณเท่าใด) แจกเป็น digital wallet จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่าและกระจายทั่วประเทศไทย
ทั้งนี้ มองเป็นบวกต่อ CPAXT ถ้าเงินงวดแรกเข้าบัตรสวัสดิการรัฐ โดยต้องทยอยใช้เป็นรายเดือน ประชาชนจะนำไปซื้อสินค้าอุปโภค บริโภคจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่ส่วนใหญ่จะซื้อมาจาก CPAXT แต่ถ้าเบิกออกมาได้ครั้งเดียว 1 หมื่นบาท CPAXT จะได้ประโยชน์น้อยลง เพราะประชาชนจะนำไปใช้คืนหนี้
3.เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยการขยายสนามบิน ซึ่งรันเวย์ 3 สนามบินสุวรรณภูมิ จะเปิดใช้งานเป็นทางการ 1 พ.ย. นี้ อนาคตอาจมีรันเวย์ที่ 4 และสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่และปรับปรุงทั้งสนามบินหลักและต่างจังหวัดให้มากขึ้น การแก้กฎหมายเพื่อแก้ระเบียบอำนวยความสะดวกให้ Private Jet มากขึ้น
ประเด็นนี้ มองว่ากลุ่มสายการบินและโรงแรมได้ประโยชน์ เช่น AOT, AAV, BA, BAFS, ERW, CENTEL, MINT
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า การแสดงวิสัยทัศน์ของ ทักษิณ ชินวัตร นั้น มองว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหาและมีโอกาสที่ GDP จะตกต่ำลง แม้ว่าอาจจะไม่ได้ลงไปลึกมาก แต่ก็จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโต และ แก้ไขปัญหาในหลายด้านที่ยังมีอยู่ เพื่อที่จะสู้กับประเทศรอบนอกให้ได้
โดย ทักษิณ ชินวัตร กล่าวปัญหาที่ควรแก้ และสิ่งที่ควรทำไว้ทั้งหมด 18 ข้อ ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ สรุปสาระสำคัญที่เกี่ยวกับตลาดทุนโดยตรงไว้ 3 ข้อหลัก ดังนี้
1.การศึกษาแผนการขยายกองทุนวายุภักษ์ เพื่อใช้เป็นหุ้นทุนซื้อคืน (Treasury Stock) สำหรับหุ้นใน SET50 และ SET100 และควรมี ESG Rating ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ KBANK, BBL, AOT, SCB, PTT, BCP, TTB, ADVANC, SCC, BDMS
2.การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยการขยายความจุสนามบินสุวรรณภูมิและการสร้างสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) คาดเม็ดลงทุนราว 1 แสนล้านบาท ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ AWC, CENTEL, MINT, ERW, CPN, AOT
3.การปรับเปลี่ยนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต โดยเสนอปรับแจกเงินสดแก่กลุ่มเปราะบาง-ผู้พิการก่อน 1 หมื่นบาท ด้วยงบกลางและงบประมาณปี 2567 รวมแล้วประมาณ 1.45 แสนล้านบาท (ภายใน ก.ย. 67) หลังจากนั้นใช้งบประมาณปี 2568 แจกเงินแก่ผู้ลงทะเบียน 30 ล้านคน ไม่ซ้ำกับกลุ่มแรก และต่อยอดระบบเพื่อโครงการในอนาคต ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ MTC, BAM, TIDLOR, TU, TFG, GFPT, CPALL, CPAXT, BJC
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้