นับเป็นข่าวดีที่น่าจับตามอง หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขยายความร่วมมือในโครงการ “Thailand-Singapore DR Linkage” ระหว่างตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยล่าสุดรับ 3 DR ใหม่เข้าเทรด หนึ่งในนั้นคือหุ้น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในชื่อ “THAIBEV19” โดยสามารถซื้อได้ขั้นต่ำ 1 หุ้น โดยราคาอยู่ที่หุ้นละ 13 บาท ณ เวลา 10.20 น.
ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ให้ความเห็นต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจว่า แม้ผลประกอบการในงวดครึ่งแรกของปี 2567 จะอ่อนแอ แต่แนวโน้มผลงานต่อจากนี้มีโอกาสฟื้นตัว จากการบริโภคในเวียดนามที่เริ่มฟื้นตัว และคู่แข่งรายใหม่ในประเทศไทยไม่สามารถรักษาโมเมนตัมทางธุรกิจได้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รับจดทะเบียนตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt หรือ DR) 3 หลักทรัพย์ใหม่อ้างอิงหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ได้แก่ “DBS19” “THAIBEV19” และ “UOB19” ออกโดย บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) โดยจะเริ่มซื้อขาย 22 สิงหาคม นี้
DR ใหม่ที่จะเข้าจดทะเบียนเป็นการดำเนินการตามโครงการ “Thailand-Singapore DR Linkage” ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยและสิงคโปร์ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ DR
ทั้งนี้ DR ที่จะเข้าจดทะเบียนใหม่มี จำนวน 3 หลักทรัพย์อ้างอิงหุ้นในตลาดสิงคโปร์ ดังนี้
“DBS19” อ้างอิงหุ้นบริษัท DBS Group Holdings Ltd ผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในเอเชีย มีเครือข่ายครอบคลุม 19 ตลาดทั่วโลก โดย DBS Bank เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“THAIBEV19” อ้างอิงหุ้นบริษัท Thai Beverage Public Company Limited ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ ดำเนินธุรกิจใน 90 ประเทศทั่วโลก
“UOB19” อ้างอิงหุ้นบริษัท United Overseas Bank Limited ผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำ มีสาขา 500 แห่งใน 19 ประเทศทั่วโลก
โดย DR ดังกล่าวจะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ออก DR ให้ความเห็นในบทวิเคราะห์ว่า บริษัทรายงานกำไรปกติในงวดเดือนต.ค. 66-มี.ค. 67 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายเบียร์ทั้งในไทยและเวียดนาม ที่ลดลง 5% และ 6% ตามลำดับ ขณะที่ กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 30.4% สูงขึ้นจากรับรู้การปรับตัวลงของราคาต้นทุนวัตถุดิบ
อย่างไรก็ตาม Consensus มองว่ากำไรปกติจะสามารถกลับมาเติบโตในระยะถัดไป หรืองวดเดือน เม.ย.-ก.ย. จากการเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สูงขึ้น และอากาศที่ร้อนกว่าปกติ รวมถึงการได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐฯ
ทั้งนี้ ราคาหุ้นในปัจจุบันถูกลดน้ำหนักลงมาใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่ง Consensus มองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 10.2% จากต้นปีนั้น สะท้อนปัจจัยลบจากผลประกอบการที่อ่อนแอไปมากแล้ว
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในระยะถัดไป คาดจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น เห็นได้จากการบริโภคในเวียดนามที่เริ่มฟื้นตัว และคู่แข่งรายใหม่ในประเทศไทยไม่สามารถรักษาโมเมนตัมทางธุรกิจได้ หลังจากการเปิดสินค้ากลุ่มเบียร์ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้