การเมืองชัด เศรษฐกิจโตกว่าคาด ดันดัชนีพุ่งทะลุ 20 จุด ลุ้นเฟดหั่นดอกเบี้ย หนุนฝรั่งซื้อหุ้นไทย

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

การเมืองชัด เศรษฐกิจโตกว่าคาด ดันดัชนีพุ่งทะลุ 20 จุด ลุ้นเฟดหั่นดอกเบี้ย หนุนฝรั่งซื้อหุ้นไทย

Date Time: 19 ส.ค. 2567 17:51 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

Summary

  • ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปิดตลาดอยู่ที่ 1,323.38 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.38 จุด หรือเพิ่มขึ้น +1.56% ด้วยมูลค่าซื้อขายสุทธิ 62,350 ล้านบาท นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากแรงหนุนของประเด็นการเมืองที่ชัดเจน ภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโต และการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบวกกระแสเงินลงทุนต่างชาติ

Latest


ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (19 สิงหาคม 2567) ปิดตลาดอยู่ที่ 1,323.38 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.38 จุด หรือเพิ่มขึ้น +1.56% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าซื้อขายสุทธิ 62,350 ล้านบาท

มูลค่าการซื้อขายสิ้นวันแบ่งตามกลุ่มผู้ลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,925.74 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิ 7,679.24 ล้านบาท บัญชีบล. ขายสุทธิ 118.43 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 10,486.55 ล้านบาท

ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากแรงหนุนของประเด็นการเมืองที่ชัดเจน ภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโต และการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อการไหลกลับของกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม วันนี้มีการขายบิ๊กล็อตหุ้น SCCC ราว 1.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจไม่สามารถนำมารวมเพื่อประเมินทิศทางกระแสฟันโฟลว์ได้


กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า  บรรยากาศของตลาดหุ้นไทยสดใสมากขึ้น หลังความชัดเจนของประเด็นการเมืองในประเทศเกิดขึ้นเร็ว ทำให้ภาพรวมของการบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปได้ต่อเนื่อง แม้อาจมีความล่าช้าเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณบ้าง แต่เชื่อว่าไม่มีผลต่อโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจ


ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเมินว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะดำเนินต่อไปได้ หลังได้นายกรัฐมนตรีที่ยังมาจากพรรคเพื่อไทย เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีหรือไม่มีโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ก็ตาม


พร้อมกันนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารมีแรงซื้อเข้ามาค่อนข้างมาก เนื่องจากสินเชื่อของกลุ่มธนาคารจะเติบโตราว 1.5-2 เท่าของอัตราการเติบโตเศรษฐกิจ โดยสภาพัฒน์ประกาศตัวเลขอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไตรมาส 2/67 ที่เร่งตัวมากขึ้นจากไตรมาสก่อน หนุนให้ภาพเศรษฐกิจครึ่งปีหลังมีทิศทางที่ดีขึ้นด้วย ขณะที่กระทรวงการคลังปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมาที่ 2.7% แม้ยังไม่รวมผลของโครงการดิจิทัล วอลเล็ต


นอกจากนี้ มองว่าด้วยประเด็นดังกล่าว มีโอกาสที่กระแสเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันโฟลว์) จะไหลกลับเข้ามาบ้าง แม้ยังไม่มีนัยสำคัญมากนัก เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างไทยและสหรัฐยังแตกต่างกันมาก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยชัดเจนได้ คือ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2-3 ครั้ง


กิจพณ ชี้ให้เห็นว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ยืนเหนือ 1,317 จุด ได้เป็นสัญญาณเชิงบวกระดับหนึ่ง เพราะถือเป็นแนวต้านสำคัญ ทำให้แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีในระยะถัดไปเปลี่ยนเป็นรูปแบบแกว่งออกข้าง จากเดิมแกว่งตัวลง คาดหนุนให้ราคาหุ้นรายตัวฟื้นได้ ส่วนแนวต้านถัดไปประเมินที่ระดับ 1,330 จุด หากสามารถปรับตัวขึ้นผ่านได้ คาดว่าจะเห็นโอกาสที่ดัชนีเร่งปรับตัวเชิงบวกได้มากขึ้น


นอกจากนี้ แนะนำเลือกลงทุนในหุ้นรายตัว ในกลุ่มที่มี Valuation ไม่แพง และมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มค้าปลีก พร้อมสามารถหาโอกาสเข้าเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มที่ราคาปรับตัวลงมาแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างกลุ่มไฟแนนซ์และกลุ่มปิโตรเคมี หลังราคามีโอกาสฟื้นตัวต่อได้

ด้าน ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนจาก 3 ประเด็นหลัก คือ บรรยากาศของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับปัจจัยการเมืองในประเทศได้นายกรัฐมนตรีเร็ว และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไตรมาส 2/67 ที่ออกมาดีกว่าคาด


อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของกระแสเงินลงทุนต่างชาติวันนี้ ไม่สามารถนำมูลค่าการซื้อขายแบ่งตามกลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 10,486.55 ล้านบาท มารวมประเมินทิศทางฟันโฟลว์ได้ เนื่องจากมีรายการขายบิ๊กล็อต ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCCC ราว 1.2 หมื่นล้านบาท


ทั้งนี้ ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้จะแกว่งตัวไซด์เวย์อัพ นักลงทุนต่างติดตามโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร โดยแนะนำซื้อเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Play) ประเมินแนวรับ 1,305 จุด ส่วนแนวต้าน 1,315-1,340 จุด


ด้านฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินภาพดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อยๆ ฟื้นตัว จากแรงหนุนของหลายปัจจัย เริ่มจากการเมืองในบ้านเรา ซึ่งล่าสุดมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 18 สิงหาคม 2567 หลังจากนั้นจะดำเนินกระบวนการตั้ง ครม. และสุดท้ายเป็นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ ก่อนเริ่มทำงาน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นภายในครึ่งแรกของเดือน กันยายน 2567


สถานการณ์ดังกล่าวถูกสะท้อนผ่านตลาดการเงิน โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอย่างชัดเจน ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถือเป็นสัญญาณบวกต่อทิศทางกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ


ขณะที่สภาพัฒน์แถลงภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาส 2/67 โต 2.3% ดีกว่าคาด ขณะที่ทั้งปี 67 คาดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ 2.5% เป็นอีกแรงหนุนเงินบาทแข็งค่า เช้านี้แตะระดับ 34.40 บาท แข็งค่าสูงสุดในรอบเกือบ 8 เดือน


ทั้งนี้ แนะติดตามการประชุม กนง. วันที่ 21 สิงหาคมนี้ คาดคงดอกเบี้ย 2.5% ถึงสิ้นปี รวมถึงรายงาน FOMC และ 23 ส.ค. เวลา 10.00 น. รอฟังความเห็นของนายพาวเวล ในการประชุมประจำปีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง เพื่อหาสัญญาณการปรับลงดอกเบี้ยที่ชัดเจนมากขึ้นในระยะเวลาที่เหลือของปี


อย่างไรก็ตาม มีมุมมองเชิงบวกต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยเห็นแรงหนุนจากประเด็นการเมืองที่ชัดเจน รวมถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ กับไทยแคบลง พร้อมคาดหวังการไหลกลับของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ หลังเริ่มมีแรงซื้อสลับเข้ามา โดยวันที่ 7-16 สิงหาคม ซื้อสุทธิ 1,649 ล้านบาท

 

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์