หุ้นไทยยังมีหวัง จับตาเลือกนายกฯใหม่ เร่ง “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ดันตลาดฟื้น

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นไทยยังมีหวัง จับตาเลือกนายกฯใหม่ เร่ง “กระตุ้นเศรษฐกิจ” ดันตลาดฟื้น

Date Time: 15 ส.ค. 2567 11:24 น.

Video

3 มาตรการใหม่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คุมหุ้นร้อนผิดปกติ | Money Issue

Summary

  • จับตาการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นักวิเคราะห์ฯ ส่วนใหญ่ต่างมีมุมมองไปในทางเดียวกันว่า โครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาลจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ทำให้สามารถขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว

Latest


ส่องทิศทางตลาดหุ้นไทย หลังวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง และส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา หลังกังวลว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (16 ส.ค. 67) จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งนักวิเคราะห์ฯ ส่วนใหญ่ต่างมีมุมมองไปในทางเดียวกันว่า โครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาลจะยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ทำให้สามารถขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว

สำหรับความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเมื่อวาน ณ เวลา 10.45 น. อยู่ที่ 1,287.12 จุด ลดลง 5.57 จุด หรือ 0.43% มูลค่าซื้อขายรวม 1.14 หมื่นล้านบาท

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวกับ “Thairath Money” ว่า หลังจากตลาดหุ้นไทยรับรู้ปัจจัยด้านการเมืองไปแล้ว ประเมินว่าดัชนีจะแกว่งตัวลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางการเมือง ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี หากสำเร็จ คาดจะต้องใช้เวลาอีก 1-2 เดือน ในการจัดตั้งรัฐบาล

ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวน เนื่องจากในช่วงที่ใช้เวลาในการจัดตั้งรัฐบาล อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณให้ล่าช้าหรือติดขัดได้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจได้

อย่างไรก็ตาม จากสมมุติฐานที่คาดว่าโครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาลจะยังเหมือนเดิม และพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอยู่ ทำให้คาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะไม่ร้ายแรง โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่คาดว่าจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แม้อาจเกิดความล่าช้าออกไป

ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยได้ซึมซับประเด็นการเมืองไปพอสมควรแล้ว ทำให้มี Downside จำกัด โดยประเมินกรอบแนวรับของดัชนีที่ระดับ 1,270-1,280 จุด สำหรับกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้กลับมาถือครองหุ้นมากขึ้น ในหุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensive Stock) และหุ้นปันผลสูง (Dividend Stock) เช่น กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มสื่อสาร

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความกังวลด้านเศรษฐกิจถดถอย หากเกิดแรงขายหุ้นในตลาดโลกออกมาอีกครั้ง อาจกดดันให้หุ้นไทยปรับตัวลดลงไปที่แนวรับ 1,250 จุด ได้

ด้าน วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพ กระบวนการหลังจากนี้ คือต้องแต่งตั้งรักษาการนายกรัฐมนตรีขึ้นมา โดยที่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันให้เป็นเพียงรักษาการ จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ถึงจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ส่วนนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะต้องมาจากแคนดิเดตแต่ละพรรคเท่านั้น โดยจะมาจากการโหวตของ ส.ส. (ส.ว.ไม่มีอำนาจ)

ซึ่งปัจจุบัน พรรคฝั่งรัฐบาลที่ครองเสียงสูงสุดได้แก่เพื่อไทย ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ ดังนั้น เชื่อว่าทีมบริหารชุดใหม่จะยังคงมาจากเพื่อไทย นโยบายต่างๆที่เคยกระทำไว้จึงน่าจะดำเนินต่อได้

ล่าสุด มีรายงานว่าวันพรุ่งนี้เตรียมจะเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นทีมบริหารชุดไหน เชื่อว่าเรื่องเร่งด่วนคือการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการกระตุ้นที่เห็นผลไวที่สุดคือการบริโภค กลุ่มค้าปลีกเมื่อวานที่ปรับลงมาจึงมองเป็นโอกาสสะสมมากกว่า

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ อาจเผชิญกับการปรับขึ้นที่จำกัด จากแรงกดดันจากการเมือง แม้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีปัจจัยหนุนจากการคลายกังวลดอกเบี้ย แต่หากทิศทางการเมืองมีความชัดเจน ได้นายกรัฐมนตรีพร้อมกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ก็เชื่อว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกและมีโอกาสค่อยๆปรับขึ้น

ในเชิงกลยุทธ์ระยะสั้น อาจเน้นเลือกหุ้นที่ไม่อิงกับปัจจัยในประเทศ เช่น กลุ่มส่งออก แต่หากลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังมองเป็นโอกาสสะสมในกลุ่มค้าปลีก

ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้ “เศรษฐา” สิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดความกังวลว่านโยบายต่างๆที่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป จะสามารถขับเคลื่อนออกมาได้หรือไม่

ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า โครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่เปลี่ยนแปลงมี 312 เสียง โดยที่มีพรรคเพื่อไทย เป็นพรรคหลักที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดที่ 141 เสียง ตามด้วย พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง จึงเชื่อว่านโยบายต่างๆ น่าจะถูกขับเคลื่อนออกมาได้ อาทิ นโยบายหลักอย่างดิจิทัล วอลเล็ต ที่มีความคืบหน้าไประดับหนึ่งแล้ว หลังรัฐสภาอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท และเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน รวมถึงนโยบายอื่นๆ ของพรรคเพื่อไทยที่คาดดำเนินการต่อได้ อาทิ กองทุน TESG และกองทุนวายุภักษ์, ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน และ Entertainment Complex เป็นต้น

ขณะที่นโยบายอื่นๆ ที่มีโอกาสถูกผลักดันมากขึ้น คือ นโยบายเรือธงของ 3 พรรคร่วมรัฐบาล จึงทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าจะดูดี และมีโอกาสเติบโตเป็นขั้นบันไดดังเดิมได้ แค่เพียงอาจจะล่าช้าไปบ้างตามกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี และ ครม.ชุดใหม่ ซึ่งเร็วสุดคาดว่าจะอยู่ภายในเดือน ส.ค.67

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นตอบรับความผันผวนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองมาเกือบ 3 เดือนแล้ว และในอดีตช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านนายกรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งตลาดผันผวนไม่นานแล้วค่อยๆ ฟื้นขึ้นในระยะถัดไป

ดังนั้น หากกระบวนการคัดสรรนายกเกิดขึ้นได้เร็ว โครงการหรือนโยบายต่างๆ เปลี่ยนแปลงไม่มาก คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสทยอยฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี ตามภาพรวมผลประกอบการบริษัทที่ค่อยๆ ดีขึ้น ตามลำดับ

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์