บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 64% รายได้รวมจากการดําเนินธุรกิจใน ไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 อยู่ที่ 32,617 ล้านบาท ลดลง 2.7% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 1.0% จากไตรมาสก่อน ประกอบไปด้วย
1) รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ อยู่ที่ 29,105 ล้านบาท ลดลง 2.2% จากปีก่อนปัจจัยหลักจากราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยที่ปรับ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญตามทิศทางเดียวกับต้นทุนก๊าซธรรมชาติ แม้ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าโดยรวมจะเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการของ โรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 2-3 ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 1.0% จากไตรมาสก่อน จากการรับรู้ผลการดําเนินการเต็ม ไตรมาสของโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 3 ซึ่งสามารถชดเชยผลกระทบของราคาขายไฟฟ้าต่อหน่วยที่ปรับลดลงตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติได้ทั้งหมด
2) รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อยู่ที่ 655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.6% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากโครงการ MKW ในประเทศเวียดนาม ที่เปิด ดําเนินการครบทุกหน่วยตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของ 2566 รวมถึง GULF1 มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการให้บริการก่อสร้างโครงการแก่ลูกค้า และจําหน่ายแผงพลังงาน แสงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ลดลง 24.6% QoQ จากโครงการ MKW ที่มีความเร็วลมในพื้นที่ลดลงตามฤดูกาล ประกอบกับ GULF1 มีรายได้จากการจําหน่ายแผงพลังงานแสงอาทิตย์ลดลง และโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG มีหยุดซ่อมบํารุงประจําปี
3) รายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค อยู่ที่ 1,029 ล้านบาท ลดลง 30.8% จากปีก่อนและลดลง 9.2% จากไตรมาสก่อน โดยเป็นการ MTP3 ในส่วนของงานถมทะเล
บันทึกรายได้ตามสัดส่วนความคืบหน้าของงานก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม
4) รายได้จากธุรกิจดาวเทียม อยู่ที่ 638 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาส 2 ปี 2566 แต่เพิ่มขึ้น 4.9% จากไตรมาสก่อน โดยหลักเพิ่มขึ้นจากรายได้การขายอุปกรณ์ รับส่งสัญญาณดาวเทียมภาคพื้นดิน
ส่วนแบ่งกําไร core profit จากบริษัทร่วมและการร่วมค้า ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 2,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.0% จากปีก่อนและ 12.5% จากไตรมาสก่อน
โดยได้รับ ส่วนแบ่งกําไรที่เพิ่มขึ้นจาก INTUCH รวมทั้งโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่ม GJP มีปริมาณการจําหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. เพิ่มขึ้นจาจากการโรงที่มีโรงไฟฟ้าหยุดซ่อม บํารุงน้อยลง นอกจากนี้ PTT NGD ยังมีผลประกอบการที่ดีขึ้นจากราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะที่ต้นทุนลดลง และได้รับส่วนแบ่งกําไรจากโครงการ HKP หน่วยที่ 1 ซึ่งเปิดดําเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2567 อีกด้วย
กําไรจากการดําเนินงาน (core profit) ใน Q2’2567 เท่ากับ 4,779 ล้าน บาท เพิ่มขึ้น 34.4% จากปีก่อน และ 15.1% จากไตรมาสก่อน เหตุผลหลักมาจากการเปิด ดําเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 2-3 รวมถึงรับรู้ส่วน แบ่งกําไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้นHKP และ GJP ที่เพิ่มขึ้นจาก INTUCH, PTT NGD,
ทั้งนี้ ใน ไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 บริษัทฯ บันทึกผลขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่กระทบบริษัทใหญ่ และทําไรจากตราสารอนุพันธ์ของบริษัทร่วมและ การร่วมค้า รวมเป็นผลขาดทุนสุทธิ 38 ล้านบาท เทียบกับ ไตรมาสที่ 2 ของ 2566 และไตรมาสที่ 1 ของ 2567 ที่มีขาดทุนจากรายการดังกล่าวจํานวน 671 ล้านบาท และ 653 ล้านบาท ตามลําดับ จึงส่งผลให้ กําไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ใน ไตรมาสที่ 2 ของ 2567 เท่ากับ 4,741 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.3% จากปีก่อนและ 35.5% ไตรมาสก่อน
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า “บริษัทฯ ยังคงประมาณการการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25-30% โดยโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ ยังคงดำเนินไปตามแผน สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตามแผนในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ในขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธันวาคม 2567
นอกจากนี้ โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะสามารถเข้าลงนามสัญญาได้ไม่ต่ำกว่า 270 เมกะวัตต์ ภายในปี 2567 และดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าไม่ต่ำกว่า 180 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ โดย GULF1 มีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจ solar rooftop ให้ได้มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ในส่วนของธุรกิจก๊าซ HKH ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่บริษัทฯ ถือหุ้น 49% ได้เริ่มนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันจำนวน 6 ลำ รวม 400,000 ตัน เพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 1 อีกทั้งมีแผนจะนำเข้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 200,000 ตัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะผลักดันให้รายได้ของกลุ่ม GULF ในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมาย”
นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับโครงการอื่น ๆ ของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังเป็นไปตามแผน โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 และจะเริ่มก่อสร้าง LNG terminal ในช่วงกลางปี 2568 ในขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเรือในปลายปี 2568
ในส่วนของโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองนั้น สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2568 ขณะที่สายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดจะเปิดดำเนินการในปี 2569
ในส่วนของธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (data center) ของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเฟสแรกซึ่งมีขนาด 25 เมกะวัตต์มีแผนเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะขยายศูนย์ข้อมูลดังกล่าวเพิ่มอีก 25 เมกะวัตต์ในเฟสที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกัน รวมเป็น 50 เมกะวัตต์ โดย GSA DC จะมุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานสะอาด และได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล (cloud computing) ด้วย เนื่องจากปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่างๆ กำลังขับเคลื่อนไปสู่ digital transformation จากการใช้งาน big data, IoT และ AI ซึ่ง workload ของ AI ดังกล่าวต้องใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูล ซึ่งจำเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาลและใช้ระบบ liquid cooling ในการระบายความร้อน โดยกลุ่มลูกค้าหลักของ GSA DC จะเป็นกลุ่ม hyperscalers enterprise และหน่วยงานรัฐบาล ส่วนธุรกิจ cloud ที่บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ องค์กรที่ต้องการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ โดยผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกที่จะจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทฯ ได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ cybersecurity
สำหรับเรื่องการควบรวมบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH นั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2568”
GULF มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยเข้าไปมีส่วนร่วมกับชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ครอบคลุม 40 จังหวัดทั่วไทยผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการพลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย โดย GULF ร่วมกับ AIS ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และระบบสื่อสารจากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้า และระบบสื่อสารโทรคมนาคม ตั้งเป้า 30 พื้นที่ในระยะเวลา 5 ปี มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างการเติบโตร่วมกันของเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน