สงครามเดือดดันราคาน้ำมันพุ่ง หนุน “บางจาก” กำไร 1.8 พันล้าน โต 298% กำลังผลิตเพิ่มหลังควบรวมเอสโซ่

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

สงครามเดือดดันราคาน้ำมันพุ่ง หนุน “บางจาก” กำไร 1.8 พันล้าน โต 298% กำลังผลิตเพิ่มหลังควบรวมเอสโซ่

Date Time: 8 ส.ค. 2567 14:19 น.

Video

ล้วงลึกอาณาจักร “PCE” สู่บริษัทมหาชน ปาล์มครบวงจร | On The Rise

Summary

  • สถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงหนุนราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ล่าสุด BCP ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1,824 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 298.25% จากปีก่อน พร้อมเผยว่าโรงกลั่นศรีราชา (BSRC) หรือเดิมคือ "เอสโซ่ (ประเทศไทย)" มีอัตรากําลังการผลิตสูงสุดสร้างสถิติใหม่ เข้ามาช่วยหนุนอัตรากําลังการผลิตรวมของกลุ่มด้วย

สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น หนุนราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BCP ผู้ประกอบธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและการค้าน้ำมันรายใหญ่ของไทย ได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว


ล่าสุด BCP ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 1,824 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 298.25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมเปิดเผยว่า โรงกลั่นศรีราชา (BSRC) หรือเดิมคือ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) มีอัตรากําลังการผลิตสูงสุดสร้างสถิติใหม่เข้ามาช่วยหนุนอัตรากําลังการผลิตรวมของกลุ่ม


นอกจากนี้ ยังมีการรับรู้กําไรหลังหักภาษี จากการขายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จํานวน 9 โครงการ 2,159 ล้านบาทด้วย


โดยบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BCP รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/67 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า กลุ่มบริษัทบางจาก มีกำไรสุทธิ 1,824 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 298.25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/66 ที่ 458 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.23 บาท


โดยบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 158,057 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 132% จากปีก่อน และมี EBITDA 10,764 ล้านบาท ลดลง 30% จากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้น 62% จากปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ได้รับแรงกดดันจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับลดลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกถูกกดดันภายใต้เศรษฐกิจอ่อนแอ ส่งผลให้ Operating GRM ปรับตัวลดลง


ประกอบกับอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยปรับลดลง จากการหยุดซ่อมบำรุงตามวาระของโรงกลั่นพระโขนง ในขณะที่โรงกลั่นศรีราชา มีอัตรากำลังการผลิตสูงสุดสร้างสถิติใหม่อยู่ที่ 154.2 KBD เข้ามาช่วยหนุนอัตรากำลังการผลิตรวมของกลุ่ม


อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ส่งผลให้กลุ่มบริษัทบางจาก มี Inventory Gain 810 ล้านบาท (รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV))


สําหรับกลุ่มธุรกิจการตลาด เนื่องด้วยบริษัทฯ มีการบริหารจัดการการจำหน่ายในช่วงการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นพระโขนง บริษัทฯ จึงได้เลือกจำหน่ายผลิตภัณฑ์และช่องทางที่มีค่าการตลาดเหมาะสม ส่งผลให้ปริมาณการจำหน่ายรวมของกลุ่มธุรกิจการตลาดอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่มีค่าการตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน


กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ แม้ว่าปริมาณการขายปรับเพิ่มขึ้น แต่มีปัจจัยกดดัน จาก Spread ระหว่างราคาขายและต้นทุนวัตถุดิบที่อ่อนตัว และกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีปริมาณการจำหน่ายที่ลดลง เนื่องจากมีปริมาณการจำหน่ายน้อยกว่ากำลังผลิตตามสัญญา (Underlift) ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของแหล่งผลิต Statfjord A เป็นระยะเวลา 60 วัน


ขณะที่กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีการรับรู้กำไรหลังหักภาษีจากการจำหน่ายไปซึ่ง โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 9 โครงการ 2,159 ล้านบาท


ส่วนผลการดำเนินงานสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 กลุ่มบริษัทบางจาก สร้างสถิติใหม่ของรายได้จากการขาย และการให้บริการเติบโตกว่า 98% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 293,438 ล้านบาท และมี EBITDA 26,072 ล้านบาท โต 48% จากปีก่อน และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 4,261 ล้านบาท โต 33% จากปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.91 บาท


โดยกลุ่มธุรกิจ โรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ได้รับแรงหนุนหลักจากผลการดําเนินงานของ BSRC ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทบางจากตั้งแต่ วันที่ 1 ก.ย. 66 เป็นต้นมา ประกอบกับอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากผลการดําเนินงานของโรงกลั่น ศรีราชา ที่มีอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นและสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ได้เข้ามาช่วยชดเชยอัตรากำลังการผลิตเฉลี่ยที่ลดลงของโรงกลั่นพระโขนงที่มีการปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นตามวาระ (Tumaround Maintenance) เป็นระยะเวลา 27 วัน ระหว่าง 7 พ.ค. 67-2 มิ.ย. 67


อย่างไรก็ดีด้วยสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลาง และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีแนวโน้มจะลุกลามบานปลายหนุนราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กลุ่มบริษัท บางจากมี Inventory Gain 438 ล้านบาท (รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ (NRV)) เข้ามาช่วยชดเชยปัจจัยกดดันจาก Operating GRM ที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จาก Crack Spread ของทุกผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามภาวะตลาดโลกจาก อุปสงค์อ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว


ขณะที่กลุ่มธุรกิจการตลาด มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันรวมทุกช่องทางสร้างสถิติใหม่ ที่ 6,919 ล้านลิตร เติบโตมากกว่า 100% จากปีก่อน โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นในการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่ลูกค้าผ่านสถานีบริการ รวม 2,214 แห่งทั่วประเทศ ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้รับแรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับการขยายตัวของกลุ่ม ธุรกิจการตลาด กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด รับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็ม ครึ่งปีจากการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐฯ (Carrol County, South Field, Hamilton Liberty & Patriot) ด้วยกำลังการผลิตรวม 857 เมกะวัตต์


และการลงทุนในคลังน้ำมัน ท่าเทียบเรือ และท่อขนส่งน้ำมันในจังหวัด เพชรบุรี ซึ่งผลการดำเนินงานดังกล่าว ช่วยบรรเทาผลกระทบการสิ้นสุด Adder ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย ใต้ทั้งหมด อีกทั้งมีการรับรู้กำไรหลังหักภาษีจากการจำหน่ายไปซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 9 โครงการ 2,159 ล้านบาท


และกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และมีการรับรู้ผลการ ดำเนินงานเต็มครึ่งปีจากแหล่งปิโตรเลียม Statfjord ที่ได้รับโอนสิทธิ์เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 66 และแหล่งผลิต Hasselmus ที่เริ่ม COD ใน เดือน ต.ค. 66

 

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ