เปิดเหตุผลคนหนีออกจากตลาดหุ้นไทย "ความเร้าใจ-ความเชื่อมั่น" ที่เหือดหาย

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

เปิดเหตุผลคนหนีออกจากตลาดหุ้นไทย "ความเร้าใจ-ความเชื่อมั่น" ที่เหือดหาย

Date Time: 1 ก.ค. 2567 06:01 น.

Summary

  • “หุ้นตก” ไม่ได้สร้างแค่ความเจ็บปวดใจให้กับนักเล่นหุ้นน้อย-ใหญ่เท่านั้น แต่ 10 ปีที่หายไปของตลาดหุ้นไทยจากภาวะตลาดซบเซายาวนานต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงรายได้ของบริษัทจดทะเบียน กระแสเงินทุนไหลออก สภาพเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนของประเทศ

Latest

เก็บหุ้นปันผล

การนั่งเรียงหน้าแถลงข่าว “มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน” ของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พร้อมด้วย ภากร ปีตธวัชชัย ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2567 ซึ่งดำริจะเพิ่มสิทธิประโยชน์ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ทั้งเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีและลดระยะเวลาถือครองลง ตลอดจนการปัดฝุ่นกองทุนวายุภักษ์ระดมเงินจากประชาชนเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้ง

รวมทั้งการนำตัว ชนินทร์ เย็นสุดใจ อดีตผู้บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาในคดีหุ้น STARK ที่แสนจะฉาวโฉ่ กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2567 ได้สำเร็จ

จะช่วยสร้างโมเมนตัมใหม่ให้กับตลาดหุ้นไทย ซึ่งแตะจุดต่ำสุดครั้งใหม่ ต่ำกว่า 1,300 จุดได้อย่างไร

ความเชื่อมั่นที่หดหายจากสารพัดคดีฉ้อโกงผ่านกลไกตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถกอบกู้ให้กลับคืนมาได้หรือไม่

4 ผู้เชี่ยวชาญของ “ทีมเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” พร้อมให้คำตอบ...

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Invester)

ตลาดหุ้นไทยกำลังอยู่ในช่วง Long Term Lost Decade หรือ 10 ปีที่หายไปจริงๆ 10 ปีมานี้ ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,500–1,300 จุด ติดลบประมาณ 13% ผมมองว่าไม่ได้ลดมากมายนัก มันซบเซาแบบนี้มาตลอด 10 ปี ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ “พอร์ตผมตั้งแต่ต้นปี ติดลบประมาณ 4-5% ตลาดรวมติดลบประมาณ 8% ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”

งวดนี้มีหุ้นที่ราคาร่วงหนักเฉพาะกลุ่ม หุ้นพื้นฐานส่วนใหญ่ ราคาไม่ได้ลดลงมาก แน่นอนพวกนักลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น จะได้รับผลกระทบเสมอ เพียงแต่ครั้งนี้ มีหุ้นใหญ่บางตัวที่ราคาร่วงหนัก เป็นกลุ่มที่ถูกดันราคาขึ้นไปแพงเกินจริง เลยทำให้เกิดความรู้สึกว่าแย่มาก ทั้งที่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับความเสียหาย อย่างผมเมื่อรวมกับเงินปันผลที่ได้ ถือว่าเสมอตัว

ดัชนีหุ้นเคลื่อนไหวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจมาตลอด เศรษฐกิจไทยโตช้ามา 10 ปีแล้ว ตลาดหุ้นจึงเริ่มอิ่มตัว ซึม ปัญหานี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาระยะยาว จึงค่อนข้างมองยากว่า

จะฟื้นเมื่อไร อาจซึมเช่นนี้ต่อไปอีก 10-20 ปี เหมือนตลาดหุ้นญี่ปุ่นซึ่งเขาใช้เวลา 30 ปีกว่าจะกระเตื้องแต่ก็ยังเหนื่อย

“โครงสร้างเศรษฐกิจไทยเริ่มเสื่อมโทรม ถ้าไม่ทำอะไรใหม่ๆก็อาจหายต่อไปอีก 10 ปี คนแก่เยอะขึ้น เด็กไม่เกิด เช่นเดียวกับโครงสร้างทางการเมืองที่รัฐธรรมนูญ ถูกออกแบบมาให้มีปัญหา เปลี่ยนยาก ทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ ถูกล้มง่าย ส่วนบริษัทเอกชนผลิตแต่สินค้าเก่าๆ ยกตัวอย่าง โรงงานรถยนต์ในประเทศ”

“ผมมองว่าระยะสั้นหากต้องการให้หุ้นขึ้น หนีไม่พ้นการอัดฉีดกำลังซื้อเข้ามาในตลาด กรณีที่รัฐบาลแถลงมาตรการกระตุ้นตลาดทุน ปัดฝุ่นกองทุนวายุภักษ์รวมทั้งปรับเงื่อนไขการลงทุนในกองทุน TESG ได้จูงใจขึ้นนั้น ต้องดูว่าจูงใจพอไหม และกองทุนวายุภักษ์จะเข้ามาซื้อหุ้นโดยตรงเลยไหม ถ้าซื้อตรงในมูลค่ามากพอ ก็จะช่วยสร้างกำลังซื้อในตลาดหุ้นได้ทันที รัฐบาลจึงน่าจะต้องสอบถามผู้คนในตลาดทุนดูว่าต้องการแบบไหน อย่างไร จึงจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อในตลาด เพราะการที่ดัชนีหุ้นไม่ได้ตอบรับกับมาตรการที่แถลงออกมา นั่นแสดงให้เห็นว่านักลงทุนรอดูการกระทำมากกว่าคำพูด”

ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่
ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่

ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง

ตลอดช่วงที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน ทั้งสำนักงาน ก.ล.ต., ตลาดหลักทรัพย์ฯ และกระทรวงการคลัง รวมทั้งผู้ประกอบการในตลาดทุน ได้ร่วมมือกันแก้ปัญหาความเชื่อมั่นในตลาดทุนอย่างเต็มที่ ทั้งการปรับระบบ ระเบียบ ข้อบังคับ การกำกับดูแล เพื่อให้ตลาดทุนไทยมีการพัฒนาให้เท่าทันกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมของการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น แต่ยังคงสร้างความเสมอภาคและความเป็นธรรมให้กับนักลงทุนทุกกลุ่ม ภายใต้การเป็นตลาดทุนที่มีมาตรฐานสากล โดยจะมีการประเมินผลประสิทธิภาพของมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเป็นระยะ เพื่อการแก้ปัญหาที่ได้ผลและตรงจุดที่สุด บางมาตรการอาจต้องใช้เวลาในการปรับปรุงระบบต่างๆ ขณะที่บางมาตรการสามารถทำได้ทันที

ภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับตลาดทุนและนักลงทุน ซึ่งการออกมาตรการสร้างความเชื่อมั่นล่าสุด ทั้งการปรับเงื่อนไขการลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG นอกจากจะส่งผลดีต่อการมีเงินออมใหม่เข้ามาลงในตลาดหุ้นไทยระยะยาวแล้ว ยังจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหุ้นไทยด้วย รวมทั้งการฟื้นกองทุนวายุภักษ์ ที่มีเป้าหมายระดมเงินจากประชาชนมากถึง 150,000 ล้านบาท เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น มีการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูง ทั้งหมดนี้ แม้จะไม่ได้เรียกความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ในทันที แต่ระยะยาวถือเป็นผลดีต่อตลาดทุนไทย นอกจากนี้ คาดว่าจะมีมาตรการอื่นๆออกมา เพื่อกระตุ้นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีก

ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่มีความคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐและการเร่งใช้งบประมาณ ส่งผลให้ธุรกิจหรือบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการที่ดีขึ้น แม้บางกลุ่มอาจยังไม่ฟื้น แต่ก็มีกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ดี ทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว การแพทย์ รวมทั้งการส่งออกที่คาดว่าจะดีขึ้นด้วย

เมื่อปัจจัยพื้นฐานดีขึ้น ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสพื้นตัวขึ้นได้ แต่ขึ้นกับปัจจัยภายนอกประเทศด้วย ทั้งทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งขณะนี้เงินต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคนี้ ไปอยู่ในสินทรัพย์สกุลเงินสหรัฐ อเมริกาและตลาดหุ้น ที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น ตลาด หุ้นอินเดีย ดังนั้น การที่เงินต่างชาติจะไหลกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อไรนั้น ขึ้นกับ ปัจจัยภายนอกประเทศที่ควบคุมไม่ได้ด้วย

ชวินดา หาญรัตนกูล
ชวินดา หาญรัตนกูล

ชวินดา หาญรัตนกูล
นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.)

มาตรการ ThaiESG ที่ออกมาถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องทำอย่างไรให้มีเงินใหม่เข้ามาเป็นบวก ที่เพียงพอกับการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ ที่ขายสุทธิปีนี้ออกไปมากกว่า 100,000 ล้านบาท และเงินที่ไหลออกจากการไถ่ถอนของกองทุน LTF เดิมที่ครบกำหนด ซึ่งปัจจุบันเงินจากกองทุน LTF ถูกขายหรือไถ่ถอนออกประมาณ ปีละ 20,000 ล้านบาท

หากเป้าหมายที่คาดหวังที่ว่าปีนี้จะมีเงินเข้ามาลงทุนกองทุน ThaiESG จำนวน 30,000 ล้านบาท นั่นหมายถึงเราต้องขยายฐานผู้ลงทุนหรือลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าให้ได้ 300,000 คน หากคิดจากสถิติค่าเฉลี่ยที่คนจะลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีเฉลี่ยคนละ 100,000 บาท ต้องมีคนลงทุนรวม 300,000 คน ถึงจะได้เม็ดเงินเข้ามา 30,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้จะทดแทนเงินที่ไหลออกจากการไถ่ถอนกองทุน LTF 20,000 ล้านบาท ซึ่งเราจะต้องเร่งโปรโมตให้คนมาซื้อกองทุน ThaiESG ในช่วงที่เหลือของปีนี้ให้มาก อย่างน้อยก็ถือว่ามีเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แม้กองทุน ThaiESG จะมีบางส่วนถูกแบ่งไปลงทุนใน ESG Bond ด้วย

ส่วนจะช่วยให้ตลาดหุ้นดีขึ้นได้แค่ไหนนั้น จากการที่ต่างชาติขายหุ้นไทยมาต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้วและปีนี้ขายสุทธิไปมากกว่า 100,000 ล้านบาทแล้ว ไม่น่าจะขายออกมามากแล้ว ซึ่งตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง ขึ้นกับมูลค่าหรือ Value ของราคาหุ้น เมื่อเทียบกับกำไรของธุรกิจด้วย ซึ่งกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 ดีกว่าคาด หากไตรมาส 2 ยังออกมาดี ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาก โดยดัชนีตลาดหุ้นที่ระดับ บวก-ลบ 1,300 จุด ทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend yield) ของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.5% หากราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดหุ้นยังลงไปอีก แปลว่า Dividend yield ก็จะสูงขึ้นกว่านี้ ดังนั้น ในสถานการณ์นี้ อาจเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุนระยะยาว

“โดยรวมถือว่าเป็นมาตรการที่ดี ที่สร้างเงินใหม่เข้ามาในตลาดหุ้น และ บลจ.สามารถระดมทุนขายหน่วยลงทุนเพิ่มโดยใช้กองทุน ThaiESG ที่มีอยู่ได้เลย รอเพียงเงื่อนไขการลงทุน การประกาศรายชื่อบริษัทที่ผ่านคุณสมบัติการมี ESG ที่จะทำให้กองทุนลงทุนได้

นอกจากนี้ ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทยยังได้เข้าไปหารือกับ รมว.คลัง เสนอขอขยายอายุกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ที่จะหมดอายุการให้สิทธิประโยชน์ภาษีในปี 2567 ซึ่งกองทุน SSF ถือว่ามีประโยชน์และสร้างวัฒนธรรมการออมและการลงทุนสำหรับผู้ออมที่เป็นคนรุ่นใหม่ เพราะมีระยะเวลาการลงทุนยาว 10 ปี

ส่วนมาตรการกำกับดูแลให้บริษัทจดทะเบียนมีคุณภาพดีขึ้น น่าเชื่อถือหลังเกิดปัญหาเคสกรณีหุ้น STARK และอีกหลายเคสนั้น เห็นว่ายังคงต้องทำอย่างต่อเนื่องทั้งมาตรการป้องกัน และการแก้ปัญหา เพื่อเรียกความมั่นใจให้กลับคืนมา เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง

ตลาดหุ้นไทยซบเซาจากหลายปัจจัย แต่ผมขอให้น้ำหนักไปที่ภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งซบเซาสะสมมาตั้งแต่ปี 2553 ยิงยาวจนปัจจุบัน มันจึงเหมือนฝีแตก เศรษฐกิจไทยระหว่างปี 2553-2566 โตเฉลี่ยปีละ 2.6% เทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศอาเซียนที่ 4.4% ต่ำกว่าทุกประเทศ ยกเว้นบรูไน พอช่วงโควิดระหว่างปี 2563-2566 เศรษฐกิจเราโตติดลบ ขณะนี้ค่าเฉลี่ยประเทศอาเซียนอยู่ที่ 2.6% เราหนักกว่าชาวบ้านเพราะปัญหาสะสมมานานกว่า 10 ปี พอเขาฟื้นตัวกัน เราก็ยังไม่ฟื้น

ขณะที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน มีเหตุผลเฉพาะตัวเพิ่มเข้าไปอีก เพราะตอนเข้ามายังไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ เพิ่งได้เริ่มเบิกจ่ายงบปี 2567 เมื่อเดือน พ.ค. เศรษฐกิจจึงยังขยายตัวช้า ผสมรวมกับปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็น กระแสเงินทุนไหลออกไปลงทุนในแหล่งที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า เช่น เงินดอลลาร์ เศรษฐกิจจีนที่โตช้าลง ลดทอนความน่าสนใจของตลาดไทยไปด้วย เพราะเศรษฐกิจเชื่อมโยงกันเหนียวแน่น ที่สำคัญตลาดทุนไทยมีปัญหาด้านโครงสร้างมานาน ไม่เซ็กซี่ ไม่มีสินค้าเร้าใจ เข้าใจว่าตลาดหลักทรัพย์ฯได้พยายามอย่างเต็มที่มาตลอด แต่ผมว่ายังทำได้อีก

เช่น การขับเคลื่อนผ่านกองทุน Exchange Traded Fund หรือ ETF, ส่งเสริมการใช้เงินออมเพื่อการลงทุนระยะยาวหรือ Long Term Individual Saving ในตลาดหุ้น แทนที่การฝากแบงก์ ขณะเดียวกันต้องเร่งสร้างเสน่ห์ให้ตลาดหุ้นไทย เพิ่มหุ้นตัวใหม่ๆที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น สายเทคโนโลยี อาหาร ธุรกิจเมกะเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

อย่างไรก็ตามมองว่า ถ้าดูจากตัวเลขที่ดีขึ้นทั้งการส่งออก จำนวนนักท่องเที่ยวช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.2567 ประกอบกับงบประมาณเริ่มถูกเบิกจ่ายแล้ว พอเดือน ต.ค. ก็ยังมีงบประมาณของปี 2568 เข้ามาเสริมอีก การลงทุนภาครัฐจะคึกคัก ส่งผลดีต่อรายได้ของบริษัทจดทะเบียน ตลาดหุ้นครึ่งปีหลังน่าจะสดใสขึ้น ผมยังเชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้ จะขยายตัวได้ 2.4-2.5% อันนี้เป็นการประเมิน ที่ยังไม่รวมผลลัพธ์จากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต.

ทีมเศรษฐกิจ

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ