FETCO จ่อพบ พิชัย พรุ่งนี้ หารือปรับเกณฑ์ SSF ดึงคนรุ่นใหม่ เชื่อเม็ดเงิน TESG แตะ 2 หมื่นล้าน

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) มองการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG Fund) จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรไทย คาดได้รับการตอบรับดี ประเมินเม็ดเงินแตะ 2 หมื่นล้านบาท

พร้อมกันนี้ FETCO เตรียมเข้าพบ พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่กำลังจะหมดอายุในปีนี้ และแนวทางในการจัดตั้งกองทุนใหม่ๆ โดยพร้อมทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง เพื่อวางแผนกองทุนเพื่อการออมระยะยาวของประเทศต่อไป

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าววว่า สำหรับการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) ในครั้งนี้ มองว่าจะทำให้มีการขับเคลื่อนตลาดทุนได้ดีมากขึ้น ทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดพันธบัตร

ขณะเดียวกัน เชื่อว่านักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดีขึ้น เนื่องจากมีสิทธิประโยชน์จูงใจมากขึ้น ระยะเวลาการถือครองลดลง และมีเวลาในการตัดสินใจซื้อมากขึ้นจากเดิม คาดมีเม็ดเงินเข้ามาไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ในวันพรุ่งนี้ (28 มิ.ย. 67) จะมีการพบกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยจะมีการหารือมีประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมเล็กน้อยในเรื่องของรายละเอียด ขณะเดียวกัน ต้องการจะปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนอื่นๆ เช่น กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund : SSF) ที่กำลังจะหมดอายุภายในปีนี้

เนื่องจากพบว่ามีนักลงทุนกลุ่มที่ให้ความสนใจกองทุน SSF เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการลงทุน โดยต้องหารือถึงแนวทางการดำเนินการ ว่าจะทำอย่างไรให้กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่คนสนใจมากขึ้นกว่าเดิม และเป็นจุดเริ่มต้นการลงทุนในตลาดทุนได้มากขึ้น

สำหรับแนวคิดการจัดตั้ง “กองทุนวายุภักษ์” นั้น มองว่ายังต้องมีการพูดคุยในรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งสภาธุรกิจตลาดทุนไทย พร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ และต้องการให้ตลาดทุนไทยมีสินค้าใหม่ๆ และเกิดความน่าสนใจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความคึกคักมากขึ้น

นอกจากนี้ ต้องการหารือเพิ่มเติม เกี่ยวกับแนวทางในการจัดตั้งกองทุนอื่นๆ หากในอนาคตมีจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม โดยพร้อมทำงานใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง เพื่อวางแผนกองทุนเพื่อการออมระยะยาวของประเทศต่อไป

ดร.กอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในภาพรวมคาดจะขับเคลื่อนได้ดี โดยแรงขับเคลื่อนที่สำคัญมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ สอดรับกับนโยบายการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกที่ได้รับผลดีกับเศรษฐกิจโลก ทำให้คาดว่าจะทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยโตได้ถึง 3% ในปี 2567

ส่วนตลาดการเงินโลก มองว่ากำลังเข้าสู่เฟสใหม่จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย สะท้อนจากธนาคารกลางหลายแห่ง ที่ตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นนัยเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจและภาพรวมการลงทุน ในช่วง 1.5 ปีต่อจากนี้ไป

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/investment

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้

https://www.facebook.com/ThairathMoney