หุ้น EA จาก 100 บาท เหลือ 15 บาท จุดต่ำสุดใหม่รอบ 10 ปี คาด กำไรไตรมาส 2 อาจไม่ถึงพันล้าน

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเช้าวันนี้อยู่ที่ 15 บาท หรือลดลง 12.79% โดยราคาหุ้นดังกล่าวนับเป็นการทำจุดต่ำสุดในรอบ 10 ปี นับจาก 2 มิ.ย. 2557 ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า แนวโน้มกำไรของ EA ยังมีทิศทางที่ไม่ดีนัก จากการส่งมอบรถยนต์ EV ที่ช้ากว่าเป้าหมาย และต้นทุนการเงินสูงขึ้น อาจกดดันให้กำไรไตรมาสที่ 2 จากระดับ 2 พันล้านบาท อาจเหลือแค่ 900 ล้านบาท 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า เราปรับประมาณการกําไรปี 2567 ลงเป็น 4,593 ล้านบาท ลดลง 36% จากปีก่อน จากการปรับสมมติฐานราคาขาย EV ลงเป็น 5 ล้านบาท จากเดิม 5.8 ล้านบาท เพื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้น และปรับสมมติฐานอัตราดอกเบี้ยขึ้นเป็น 5.6% (เดิม 5.0%) เพื่อสะท้อนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงนานกว่าที่ประเมินไว้ ก่อนหน้าและการถูกปรับลด Credit Rating ลงเป็น BBB+ (Negative Outlook) จากเดิม A- (Negative Outlook) และปรับประมาณการกําไรปี 2568 ลงเป็น 4,818 ล้านบาท (+5% YoY) จากการปรับสมมติฐาน Utilization Rate ของโรงงานแบตเตอรี่ลงเป็น 55% (เดิม 70%) เพื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้น และการปรับต้นทุนทางการเงินขึ้น (เช่นเดียวกับปี 2567)

แนวโน้มกําไรไตรมาสที่ 2 ยังอ่อนแอ ที่ระดับ 800-900 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาลของโครงการลม และค่าใช้จ่าย SG&A ที่ EA มีรอบการจ่ายโบนัสพนักงานในไตรมาส 2 และลดลงจากปีก่อน จากฐานที่สูงในปีก่อนตามค่า Ft และปริมาณการส่งมอบรถ EV ที่ลดลง หลังกลุ่มลูกค้ามีการชะลอคําสั่งซื้อ

อย่างไรก็ตาม หากมองไปช่วงครึ่งปีหลังกําไรปกติมีโอกาสกลับมาเติบโตได้ จากปริมาณการส่งมอบรถ EV ที่เริ่มฟื้นตัว ผลจากการที่บริษัทฯ ประกาศเพิ่มทุนใน NEX และทําให้ความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าเริ่มฟื้นตัว และปัจจัยฤดูกาลของโครงการลมในประเทศ ขณะที่จากปีก่อน คาดกําไรปกติลดลงหลังถูกกดดันจากค่า Ft ที่ลดลงจากปี ก่อน และผลกระทบจาก Adder ของโครงการแสงอาทิตย์ที่หมดอายุลง

อย่างไรก็ตาม สำหรับการเติบโตของ EA รอปัจจัยบวกใหม่ ผลจากการปรับประมาณการและการปรับ WACC ที่ใช้ประเมินมูลค่าธุรกิจโรงไฟฟ้าและแบตเตอรี่เป็น 8.3% (เดิม 8.2%) ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 22.20 บาท/หุ้น โดยในระยะสั้นและระยะกลาง คาดการฟื้นตัวของราคาหุ้นจะยังคงถูกจํากัดจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อนต่อเนื่อง รวมถึงการที่หุ้นยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่

จึงคงคําแนะนํา “TRADING” ทั้งนี้ เรามองว่าหุ้นจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง หากธุรกิจ EV สามารถส่งมอบรถได้ในระดับ 700-1,000 คันอย่างต่อเนื่อง หรือบริษัทฯ สามารถลงทุนในธุรกิจใหม่ที่สามารถชดเชยผลกระทบจากการหมดอายุของ Adder