การแถลงข่าวใหญ่ของ คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง คุณพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. และ คุณภากร ปีตธวัชชัย กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเย็นวันจันทร์ที่ตลาดหลักทรัพย์ เรื่อง “มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน” หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยร่วงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 4 ปี จากการเมืองที่ไม่มั่นคง ความขัดแย้งสูง รวมทั้งนโยบายแจกเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งที่กำลังซื้อฟื้นตัว ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นรัฐบาล การแถลงข่าวครั้งนี้ มุ่งยกระดับความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้น ซึ่งเป็น ตัวแทนความเชื่อมั่นต่ออนาคตของประเทศไทย ถ้านักลงทุนไม่เชื่อมั่นในประเทศไทย ราคาหุ้นก็ร่วง นักลงทุนต่างชาติก็เทขาย ถ้านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย ราคาหุ้นก็ขึ้น นักลงทุนต่างชาติก็เข้ามาซื้อ
ตัวอย่างสดๆร้อนๆ ตลาดหุ้นอินเดีย ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา หลังจากที่ นายนเรนทรา โมดี เข้ารับตำแหน่งนายกฯอินเดีย สมัยที่ 3 ราคาหุ้นอินเดียพุ่ง 10 วันติด นักลงทุนต่างชาติระดมเงินเข้าไปซื้อหุ้นอินเดียมากถึง 34,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 1.24 ล้านล้านบาท ในเวลา 10 วัน (นับถึง 21 มิ.ย.) เฉลี่ยซื้อสุทธิวันละ 124,000 ล้านบาท รัฐบาลที่มั่นคงมีนโยบายที่น่าเชื่อถือ ไม่ส่อไปในทางที่น่าสงสัย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของประเทศ
การแถลงข่าวร่วมครั้งนี้ คลัง ก.ล.ต.ตลาดหลักทรัพย์ เห็นชอบให้ใช้แนวทาง “การขับเคลื่อนตลาดทุนไทยผ่านการส่งเสริมการออม” โดยการ ปรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับ “กองทุนไทยอีเอสจี (TESG)” ตามข้อเสนอของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์คือ สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน และซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท (จากเดิม 100,000 บาท) ระยะเวลาถือครอง 5 ปี นับจากวันที่ซื้อ(เดิม 8 ปี)
นโยบายการลงทุน ต้องลงทุนมากกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ดังนี้ (1) หุ้นใน SET/mai ที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม (E) ESG หรือเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก หรือระดับการประเมิน CG Rating ของ IOD และมีการเปิดเผยข้อมูลด้านบรรษัทภิบาล (G) ในระดับและรูปแบบที่ ก.ล.ต.กำหนด (2) ESG Bond (3) Green Bond (4) หุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี ESG ที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล ถือเป็นนโยบายการลงทุนที่เอื้อต่อหุ้นไทยใน SET และ mai
เหตุผลที่ปรับลดระยะเวลาการถือครองจาก 8 ปี ลงมาเหลือ 5 ปี ก็เพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่มคนอายุน้อย กลุ่มอาชีพอิสระที่รับความเสี่ยงการลงทุนในหลักทรัพย์ได้ แต่ต้องการสภาพคล่องที่สูงกว่า ให้เข้ามาลงทุนในกองทุนไทยอีเอสจี ส่วนนโยบายการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ก็เพื่อส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินการที่สร้างความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน ในมิติที่ครอบคลุมมากขึ้น และส่งเสริมความโปร่งใส ให้ข้อมูลเชิงมูลค่าเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น ผู้ลงทุนจะได้สบายใจ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังมีแนวคิดที่จะฟื้น “กองทุนรวมวายุภักษ์” ซึ่งเคยเป็นที่นิยมของนักลงทุน กลับมาอีกครั้ง กองทุนนี้แบ่งออกเป็น 2 หน่วย คือ “หน่วย ก.” สำหรับนักลงทุนทั่วไป “หน่วย ข.” สำหรับกระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่น ผู้ลงทุนทั่วไป (หน่วย ก.) จะได้รับผลตอบแทนจริง โดยมีขั้นตํ่าขั้นสูงต่อปีเป็นเวลา 10 ปี เช่น ขั้นตํ่า 3% ขั้นสูง 7-9% ตอนนี้ “หน่วย ข.” มีเม็ดเงินลงทุนอยู่ 3.5 แสนล้านบาท ถ้า ขาย “หน่วย ก.” ให้ผู้ลงทุนทั่วไป 1.5 แสนล้านบาท จะทำให้กองทุนวายุภักษ์มีมูลค่าราว 5 แสนล้านบาท ถือเป็นกองทุนที่ใหญ่มาก
กองทุน TESG เงื่อนไขใหม่ คุณพิชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง เปิดเผยว่า จะเสนอ ครม.ในอีก 2 สัปดาห์ จะเริ่มให้ลงทุนได้ในเดือนกรกฎาคม 2567 คาดว่า จะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่ 30,000-40,000 ล้านบาท ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งทั้งสองกองทุน ช่วยให้ประชาชนมีทางเลือกในการลงทุนที่ยั่งยืนมากขึ้น ไม่ต้องเป็นแมลงเม่าไปเสี่ยงกับหุ้นหรือหุ้นกู้ ผมคิดว่าขนาดของ กองทุน TESG ใหม่ และ กองทุนวายุภักษ์ จะช่วยฟื้นตลาดหุ้นไทยได้แน่นอน.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม