จับตากองทุนฯ “วายุภักษ์” ย้อนประวัติยุคทักษิณ เคยใช้ดันตลาดหุ้นพุ่งกระฉูด

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

จับตากองทุนฯ “วายุภักษ์” ย้อนประวัติยุคทักษิณ เคยใช้ดันตลาดหุ้นพุ่งกระฉูด

Date Time: 25 มิ.ย. 2567 11:31 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

Summary

  • การผลักดัน TESG fund และการพิจารณาตั้งกองทุนวายุภักษ์ อาจเป็นความหวังใหม่ของนักลงทุน ที่ช่วยหนุนดัชนีให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น นักวิเคราะห์ฯ ต่างจับตาเงื่อนไขการตั้งกองทุน TESG ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดสัดส่วนเม็ดเงินที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เนื่องจากสามารถลงทุนใน Green bond ได้ ส่วนกองทุน “วายุภักษ์” คาดดึงเม็ดเงินได้มาก จากในอดีตหลังตั้งกองทุน หนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มกว่า 100%

Latest


มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ที่ทั้ง 3 หน่วยงานสำคัญ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการคลัง, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมเดินหน้าผลักดันนั้น อาจเป็นความหวังใหม่ของนักลงทุน จากเม็ดเงินที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมา


โดยยังต้องติดตามว่า การลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จะสามารถจูงใจนักลงทุนให้เกิดการออมและการลงทุนระยะยาว ได้อย่างที่หน่วยงานตลาดทุนคาดหวังไว้หรือไม่ โดยเฉพาะการแก้ไขเกณฑ์ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) และการพิจารณาตั้ง “กองทุนวายุภักษ์” ใหม่ 


ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า สำหรับการปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ TESG นั้น มองว่าเป็นการปรับที่ทำได้ดีที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งกองทุนนี้เป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้ตลาดมากขึ้น เมื่อเทียบกับกับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพราะสามารถไปลงทุนในตราสารหนี้ Green bond ได้ และนอกจากนั้น ยังมีการลงทุนในหุ้นที่มี ESG rating ดีด้วย


ทั้งนี้ การปรับลดระยะเวลาการถือครองเป็น 5 ปี นั้นมองว่ามีความใกล้เคียงกับกองทุน LTF ซึ่งจะทำให้นักลงทุนกล้าซื้อมากขึ้น เพราะไม่ต้องถือนานรับความเสี่ยงที่อาจขาดทุนมากกว่าการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี


นอกจากนี้ ภาครัฐคาดจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยราว 2-3 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับเม็ดเงินสุทธิที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยจากการตั้งกองทุน LTF โดยมองว่าเป็นระดับที่คาดหวังได้ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามว่า เกณฑ์ดังกล่าวจะมีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นหรือไม่ เพราะหากไม่มีการกำหนดไว้ เม็ดเงินที่ลงทุนอาจไหลเข้าในตราสารหนี้ Green bond ในสัดส่วนที่มากกว่าตลาดหุ้นไทย


ส่วนการพูดถึงประเด็นพิจารณาตั้งกองทุนวายุภักษ์ มองว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องจากในสมัยของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์เมื่อปี 2546 หนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มมากกว่า 100% จากเม็ดเงินลงทุนราว 500,000 ล้านบาท


นอกจากนี้ กองทุนวายุภักษ์ ยังมีสถิติย้อนหลังที่ดี โดยเฉพาะการให้ผลตอบแทน 10 ปี (2546-2556) เฉลี่ยปีละ 15% โดยเชื่อว่าจะสามารถเรียกเม็ดเงินลงทุนได้จำนวนมาก ทั้งจากนักลงทุน และบริษัทจดทะเบียนที่ต้องการบริหารเงินสดในมือ ซึ่ง ณ ตอนนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็น “กองทุนพยุงหุ้น” ที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหุ้นไทย


“การพูดถึงประเด็นพิจารณาตั้งกองทุนวายุภักษ์ เป็นการส่งสัญญาณว่าภาครัฐมีกระสุนใหญ่อีกเม็ด ซึ่งเป็นแนวทางสร้างความเชื่อมั่น ถ้าหากออกกองทุน TESG มาแล้วเอาไม่อยู่”


อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามรายละเอียดและแนวทางการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ ว่าจะมีการบริหารกองทุนอย่างไร แต่เชื่อว่านักลงทุนจะกล้าซื้อมากขึ้น จากสภาวะตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ในโซนที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว และจะเกิดเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาช่วยตลาดหุ้นไทยได้เยอะ


ขณะที่นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สำหรับประเด็นกองทุน TESG เรามองเป็น Slightly Positive เนื่องจากระยะเวลาการถือครองอยู่ในระดับที่น่าสนใจ รวมทั้งเป็นเม็ดเงินใหม่ราว 3 แสนบาทต่อคน ซึ่งคาดจะเข้ามาช่วยกระตุ้นได้


แต่อย่างไรก็ดี สำหรับกองทุน TESG มีบางส่วนที่สามารถลงทุนใน ESG Bond ได้ ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างแย่กว่าหากเทียบกับกองทุน LTF แบบเดิม ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย โดยคาดมาตรการนี้ เตรียมส่งเข้า ครม. ภายใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาช่วยกระตุ้นจิตวิทยาเชิงบวกได้ 


นอกจากนี้ยังเตรียมฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ใหม่ ซึ่งจะเป็นเม็ดเงินที่สำคัญเช่นกัน ผสานกับการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน เช่น การเตรียมเริ่มมาตรการ Uptick Rule ในวันที่ 1 ก.ค. นี้, ทบทวนจำนวนหลักทรัพย์ ที่ Short Sale ได้น้อยลง, มาตรการ Dynamic Price Band เป็นต้น ซึ่งคาดจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไปต่อ


ด้านฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า เชื่อว่าแนวทางขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยที่นำเสนอ น่าจะสร้างความเชื่อมั่นเชิงบวก และดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นได้เพิ่มเติม โดยกองทุน TESG ใหม่กำหนดให้สามารถนำเงินลงทุนไปลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 3 แสนบาท ระยะเวลาการถือครอง 5 ปี และลงทุนได้ช่วงปี 2567-2571 ซึ่งคาดหมายว่า น่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นได้มากขึ้น


อย่างไรก็ตาม ต้องรอติดตามเงื่อนไขการจัดตั้งกองทุนว่า รูปแบบกองทุนที่จะเสนอขายจะเป็น กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed-Income Fund), กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) หรือกองทุนรวมผสมแบบยืดหยุ่น (Flexible Portfolio Fund) ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดปริมาณเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น


ส่วนการกลับมาของกองทุนวายุภักษ์ ที่เปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปเข้ามาซื้อได้ ก็น่าจะเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่เข้ามาสนับสนุนตลาด สำหรับกลไก เช่น UPTIRCK RULE, การควบคุม HFT ยังเดินตามกรอบเวลาเดิม ความเชื่อมั่นเชิงบวกจากแนวทางขับเคลื่อนตลาดทุน ผสมกับทิศทาง เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว น่าจะช่วยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์