ปัดฝุ่น!! ตั้งกองทุนวายุภักษ์ 5 แสนล้าน รักษาเสถียรภาพตลาดหุ้นระยะยาว ระดมทุนขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน 1.5 แสนล้าน การันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ พร้อมปรับเงื่อนไขให้สิทธิประโยชน์ภาษี กองทุน ThaiESG ขยายวงเงินลงทุนให้ลดหย่อนภาษีได้ 3 แสน ลดเวลาถือครองเหลือ 5 ปี หวังมีเม็ดเงินใหม่ 3 หมื่นล้าน คาดเงินเข้าตลาดหุ้นได้ไตรมาส 3
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวร่วมระหว่าง 3 หน่วยงานในการสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดทุน เรื่อง “การขับเคลื่อนตลาดทุน” เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายก รัฐมนตรี และ รมว.คลัง นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ โดยนายพิชัย กล่าวว่า มีแนวคิดที่จะฟื้นการจัดตั้งกองรวมวายุภักษ์ที่มีการลงทุนจากภาครัฐและระดมเงินทุนจากเงินออมของประชาชนโดยขายหน่วยลงทุน และนำเงินที่ได้มาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น กองทุนวายุภักษ์เดิม เป็นเงินลงทุนของภาครัฐ 350,000 ล้านบาท และขายหน่วยลงทุนให้ประชาชน 150,000 ล้านบาท โดยเงินลงทุนในส่วนของประชาชน จะได้รับผลตอบแทนตามจริง การันตีผลตอบแทนขั้นต่ำและขั้นสูง 10 ปี เช่น การันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ 3%ต่อปี โดยเงินลงทุนของประชาชนจะได้รับชำระคืนก่อนผู้ถือหน่วยภาครัฐ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นเจ้าภาพ โดยหลังจากนี้จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คาดจะได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือน หรือภายในไตรมาส 3 ปีนี้
ปรับเงื่อนไข TESG ลดภาษีจุใจ
นอกจากนี้ ภายใน 2 สัปดาห์ จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรับ เงื่อนไขหลักเกณฑ์กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (TESG fund) ซึ่งเป็นกองทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ภาษี โดยนำเงินลงทุนในกองทุนมาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ โดยลดเวลาการถือครองจาก 8 ปีนับจากวันที่ซื้อเป็น 5 ปี รวมทั้งนำเงินที่ลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 บาท จากเดิม 100,000 บาท เพื่อจูงใจให้คนลงทุนเพื่อได้สิทธิประโยชน์ ภาษี รวมถึงส่งเสริมการออมและลงทุนในตลาดหุ้น โดยให้มีผลย้อนหลังสำหรับการลงทุนตั้งแต่ 1 ม.ค.67 เพื่อนำมาลดหย่อนในปีนี้ได้ มั่นใจว่า จะมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาวไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาทในปีนี้ หากเทียบกับปีที่แล้วที่เปิดขายเพียงเดือนเดียว มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุน 6,000 ล้านบาท ขณะนี้เหลือเวลาระดมทุน 5-6 เดือน
นายพิชัยกล่าวว่า การลงทุนของกองทุน TESG จะนำไปลงทุนกับบริษัทจดทะเบียนที่เปิดเผยการทำธุรกิจ โดยคำนึงถึงการมีบรรษัทภิบาลที่ดี (Governance) บนแพลตฟอร์มของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะกำหนดเกณฑ์และคุณสมบัติบริษัทที่เข้าข่ายและดำเนินการได้ตามเป้าหมาย โดยจะประกาศรายชื่อบริษัทที่เข้าข่าย เพื่อให้กองทุน TESG เข้าไปลงทุนได้ จากปีที่ผ่านมา เราเน้นสิ่งแวดล้อม (Environment) มีบริษัทหรือหุ้นที่มีคุณสมบัติ 128 บริษัท คาดจะมีหุ้นที่มีการปฏิบัติและเปิดเผยข้อมูลด้าน Governance เพิ่มอีก 200 หุ้น รวมเป็น 300 กว่าบริษัท และยังส่งเสริมให้บริษัทในตลาดหุ้นไทยให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนและบรรษัทภิบาลที่ดี
ทั้งนี้ มาตรการ ThaiESG ใหม่คาดรัฐจะสูญรายได้ 10,000 ล้านบาท แต่ระยะยาวจะได้ประโยชน์มากกว่า สอดคล้องเป้าหมายในการสร้าง positive impact ทั้งการออม การให้แรงจูงใจผู้ลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และบรรษัทภิบาลที่ดี ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์และ ก.ล.ต.ได้ยกระดับการกำกับซื้อขายที่ใช้ยาแรงพอสมควรแล้ว น่าจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ และการทำชอร์ตเซล เห็นว่ายังมีความจำเป็นอยู่
หุ้นไทยถูกน่าลงทุนแล้ว
ด้าน นายภากร กล่าวว่า กำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS) กลับมาดีแล้ว แต่ราคาหุ้นบางตัวดีขึ้น บางตัวยังไม่ขึ้น ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้นไทยถูกกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังเมื่อเทียบกับผลประกอบการ หรือกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน และนักวิเคราะห์ยังมองแนวโน้มผลประกอบการและเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดีในอนาคต จึงมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุน ส่วนการขายของต่างชาติเกิดจากความไม่มั่นใจในหลายปัจจัย ทั้งในและนอกประเทศ เมื่อเราปรับมาตรการต่างๆ เชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ และทำให้ต่างชาติชะลอการขายหุ้นหรือขายหุ้นลดลงได้
ยกระดับมาตรการกำกับ
ด้านนางพรอนงค์ ก.ล.ต.มีแนวทางยกระดับการกำกับดูแลทั้ง 5 ขั้นตอน นอกจากนี้ ยังเพิ่มมาตรการเกี่ยวกับการกำกับการซื้อขายพฤติกรรมคำสั่งซื้อขายที่ไม่เหมาะสม เช่น การเปิดเผยข้อมูลคำสั่งซื้อขายไม่เหมาะสมให้แก่สมาชิกทุกราย (เริ่ม 1 ก.ค.67) การลงทะเบียนลูกค้า HFT ทำให้ตรวจสอบข้อมูลได้ง่ายยิ่งขึ้น (เริ่ม 1 ก.ค.67) อีกทั้งยังมีกำหนดเวลาขั้นต่ำของ order ก่อนที่จะยกเลิกคำสั่งและกำหนดความเร็วขั้นต่ำเพิ่มเติม เริ่มไตรมาส 3/67 (ไม่กระทบนักลงทุนทั่วไป) และแนวทางพัฒนาตลาดทุน ยังรวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (DIF) เพื่อยกระดับตลาดทุนดิจิทัลด้วย.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่