เปิดเหตุผล “หุ้นเล็ก” ร่วงติดฟลอร์ คาดถูก Force Sell เพียบ YGG ย้ำผู้ถือหุ้นใหญ่ยังอยู่ครบ

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

เปิดเหตุผล “หุ้นเล็ก” ร่วงติดฟลอร์ คาดถูก Force Sell เพียบ YGG ย้ำผู้ถือหุ้นใหญ่ยังอยู่ครบ

Date Time: 20 มิ.ย. 2567 12:36 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • หุ้นขนาดเล็กปรับตัวลงอย่างรุนแรง คาดมีการเรียกหลักประกัน (Call) และการบังคับขาย (Force Sell) ในบัญชีมาร์จิ้น ทำให้ราคาหุ้นบางตัวลดลงแตะ Floor และด้วยตลาดหุ้นไทยที่ขาดสภาพคล่อง นำมาสู่ความผันผวนและขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุน

Latest


ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นขนาดเล็กปรับตัวลงอย่างรุนแรง โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่า มีการเรียกหลักประกัน (Call) และการบังคับขาย (Force Sell) ในบัญชีมาร์จิ้นส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น และสร้างแรงกดดันในตลาด ทำให้ราคาหุ้นบางตัวลดลงแตะจุดต่ำสุดของวัน (Floor) และด้วยตลาดหุ้นไทยที่ขาดสภาพคล่อง นำมาสู่ความผันผวนและขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุน


กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ความผันผวนของราคาหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น พบว่ามีหลายบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน แต่เกิดจากการนำหุ้นไปเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุนหรือเจ้าของบริษัท เพื่อนำเงินไปลงทุนต่อหรือขยายธุรกิจ

โดยการกระทำดังกล่าวนำมาซึ่งความเสี่ยง จากปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง และมีโอกาสนำมาสู่การเรียกหลักประกันเพิ่ม หรือการบังคับขาย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้หุ้นขนาดเล็กหลายตัวที่มีสัดส่วนในบัญชีมาร์จิ้นสูงปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม หุ้นขนาดกลาง-เล็ก ไม่ได้มีความเสี่ยงลักษณะดังกล่าวทุกบริษัท เพราะการนำหุ้นไปเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้นเป็นการกระทำส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ขณะเดียวกัน หุ้นที่มีสัดส่วนในบัญชีมาร์จิ้นสูง หากมีความสามารถในการชำระหนี้คืนก็มองว่าไม่มีความน่ากังวลเช่นกัน

ทั้งนี้ มองว่าสาเหตุที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เกิดจากปัญหา Valuation ที่แพงเกินไป ซึ่งหากไม่มีปัจจัยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะสั้น ก็ทำให้มีโอกาสปรับตัวลงต่อได้ เพียงแต่หุ้นขนาดกลาง-เล็ก อาจมีความผันผวนมากกว่า

ดังนั้น แนะนำนักลงทุนให้พิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก ว่ามีแนวโน้มการเติบโตเป็นอย่างไร และราคาหุ้นเหมาะสมหรือไม่ โดยพยายามหลีกเลี่ยงการลงทุนหุ้นที่มี Valuation สูง หรือมี P/E มากกว่า 30 เท่า หรือ มีการควบคุมระดับความเสี่ยงในการให้สัดส่วนเงินลงทุนน้อยลง และกระจายการลงทุนไปยังหุ้นที่หลากหลายมากขึ้น ก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นได้


ด้านฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สัญญาณล่าสุดที่เห็น มีการกล่าวถึงการ Force Sell ของบัญชีมาร์จิ้นมากขึ้น ซึ่งในประเด็นนี้หากมองผลกระทบทางตรง ก็เห็นว่าเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้น แต่หากมองไปไกลกว่านั้น ก็มีโอกาสที่จะเห็นเป็น แรงกดดันรอบท้ายๆ

โดยวานนี้หุ้นหลายตัวขนาดกลาง-เล็ก ปรับตัวลงแรงใกล้และถึงราคาต่ำสุด อาทิ NEWS, JCKH, SDC, SABUY, NRF, SBNEXT, AS, YGG, PK, TRC, NEX และ BYD เป็นต้น ซึ่งเกิดข้อสงสัยว่าหุ้นที่ปรับตัวลงแรงวานนี้ อาจเพราะมี %MARGIN คงค้างที่อยู่ระดับสูง 

เนื่องจากหุ้นหลายตัวที่ปรับตัวลงแรงวานนี้มี %MARGIN คงค้างอยู่ระดับ 20%-45% อาทิ NRF, SBNEXT, AS, YGG และ NEX เป็นต้น และด้วยสภาวะตลาดฯในปัจจุบันที่ขาดสภาพคล่องส่วนเกินมาหนุน จึงทำให้เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลงแรงจนแตะระดับต้องเรียกหลักประกัน (call) หรือ Force Sell จึงทำให้ราคาเกิดการปรับตัวลดแตะจุดต่ำสุดได้ไม่ยาก และเกิดภาวะไร้ bid ขึ้นดังเหตุการณ์เมื่อวานนี้ โดยรวมจึงทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน และขาดความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ

อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าว คาดไม่ได้กดดันรุนแรงมากนักเฉกเช่นในอดีต เนื่องจาก มูลค่าซื้อขายผ่านบัญชีมาร์จิ้น ทั้งหมด เดือน พ.ค. 67 อยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 71% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2564 ที่อยู่สูงระดับ 2.97 แสนล้านบาท รวมถึงล่าสุดมีปริมาณหุ้นที่ใช้มาร์จิ้นคงค้างสัดส่วนเพียง 1.54% ของมาร์เก็ตแคป แสดงให้เห็นการใช้มาร์จิ้นโดยรวมที่ลดลงกว่าในอดีตมาก จึงเป็นประเด็นที่นักลงทุนเบาใจลงได้บ้างระดับหนึ่ง

ด้าน ธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น YGG ออกมายืนยันว่ายังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยถือหุ้นครบสัดส่วนที่ 41.14% และอยากให้ผู้ถือหุ้นรวมทั้งนักลงทุน มั่นใจในการบริหารงานของกลุ่มผู้บริหารของบริษัท

โดย YGG ยังคงดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัท มีการขยายงานในทุกส่วนของธุรกิจอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการหาพันธมิตรจากต่างประเทศที่มีศักยภาพ สามารถต่อยอดธุรกิจของบริษัทได้  เพื่อให้บริษัทมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตสูง และมั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่ดี เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วาง

ทั้งนี้บริษัทได้ประกาศแผนการจับมือกับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อผลักดันธุรกิจในส่วนของแอนิเมชันและเกม รวมทั้งการขยายในส่วนของภาพยนตร์ฮอลลีวูดด้วยโปรเจกต์ใหม่ๆ ซึ่งล่าสุดได้จับมือกับพันธมิตรจากประเทศจีน เพื่อร่วมกันผลิตผลงานด้านแอนิเมชัน   

ในส่วนของงานเกมในปีนี้บริษัทมีแผนทยอยออกเกมใหม่ ด้านภาพยนตร์ที่ร่วมผลิตภาพฮอลลีวูด Home Sweet Home Rebirth กับพันธมิตรต่างประเทศ ขณะนี้ขบวนการผลิตใกล้เสร็จสมบูรณ์ และมั่นใจกระแสตอบรับดี คาดว่าจะสามารถสรุปผู้ซื้อรายใหญ่จากฝั่งอเมริกาได้ภายในเร็วๆ นี้  

“ปีนี้มีการขยายงานในทุกส่วน เรามั่นใจผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมาย YGG มีแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจน แนวทางของการบริหารมุ่งเน้นให้บริษัทแข็งแกร่ง เติบโตในระยะยาว จึงอยากให้นักลงทุน ผู้ถือหุ้น มีความมั่นใจ เชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท” ธนัช กล่าว

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์