ส่องความเห็นโบรกฯ วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย จังหวะนี้ “ซื้อ” หรือ “ขาย”?

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ส่องความเห็นโบรกฯ วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทย จังหวะนี้ “ซื้อ” หรือ “ขาย”?

Date Time: 18 มิ.ย. 2567 12:00 น.

Video

"CINDY CHAO The Art Jewel" สองทศวรรษอัญมณีศิลป์ | Brand Story Exclusive EP.4

Summary

  • เช้านี้ดัชนีหุ้นไทยเด้ง 13.58 จุด อยู่ที่ 1,310.17 จุด จับตาประเด็นการเมือง พร้อมส่องความเห็นโบรกฯ จังหวะนี้ “ซื้อ” หรือ “ขาย”?

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 มิ.ย.67) ปรับตัวขึ้นจากวันก่อนหน้า ณ เวลา 11.40 น. ดัชนีอยู่ที่ 1,310.17 จุด เพิ่มขึ้น 13.58 จุด หรือ +1.05% นักลงทุนต่างจับตาความชัดเจนของปัจจัยการเมืองวันนี้ ทั้งการพิจารณาเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ของ เศรษฐา ทวีสิน, การส่งฟ้องคดีมาตรา 112 ของทักษิณ ชินวัตร, กรณีการยุบพรรคก้าวไกล และการวินิจฉัยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.)


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยได้เผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก ทำให้ดัชนีหลุดจากระดับ 1,300 จุด วานนี้ ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่มีหลายปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด


วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ มีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวขึ้น เพราะเชื่อว่าการปรับฐานลงมาก่อนหน้าสะท้อนปัจจัยกดดันทางการเมืองไปแล้ว ตามสถิติแล้วหากปัจจัยทางการเมืองคลี่คลายตลาดหุ้นมักจะปรับขึ้น 1 เดือนผลตอบแทนเฉลี่ย 7% และ 3 เดือนหลังการเมืองคลี่คลายตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10%


ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าไตรมาส 1/67 จะเป็นจุดต่ำสุดไปแล้ว เพราะการลงทุนภาครัฐจะกลับมาเป็นตัวเร่งเศรษฐกิจไทย ซึ่ง Consensus ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/67 จะกลับมาขยายตัว 2.1% และ ไตรมาส 4/67 จะเร่งตัวขึ้นเป็น 3.8% ในขณะที่การบริโภคและการท่องเที่ยวก็จะเร่งตัวขึ้นด้วยปัจจัยฤดูกาล


นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยมี Valuation น่าสนใจ (Earnings Yield Gap กลับขึ้นมาอยู่ในจุด +1SD บ่งชี้ระดับ Valuation ที่ถูก) และปัจจัยสำคัญคือการประกาศใช้ Uptick Rule ของตลาดหลักทรัพย์จะเป็นปัจจัยสำคัญในการลดแรงกดดัน มองแนวรับเลวร้ายสุดไว้ที่ 1,260-1,280 จุด


สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หากไม่มีหุ้นเลยมองเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการทยอยสะสม เพราะปัจจัยพื้นฐานไทยไม่ได้แย่ เท่ากับราคาหุ้นที่ปรับลงมา แนะนำกลุ่มอิงการบริโภค อาทิ ค้าปลีก (CPALL, DOHOME, GLOBAL, HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, MINT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, KTB, SCB) ศูนย์การค้า (CPN) ส่วนคนที่มีหุ้น ณ ระดับดัชนีไม่ใช่จุดที่ต้อง Cut Loss แต่ไม่ควรกลัวกับตลาดหุ้นตรงนี้


ด้าน อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้ความเห็นอีกมุมหนึ่งว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ซึมซับข่าวเชิงลบของปัจจัยการเมืองไปค่อนข้างมากแล้ว หากเทียบจากปี 2551 ในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ที่พ้นจากตำแหน่ง ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำกว่าดัชนีของตลาดหุ้นอื่น (Underperform) ประมาณ 5% ซึ่งใกล้เคียงกับปัจจุบัน


อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีความไม่แน่นอนของประเด็นทางการเมือง 4 คดีที่สำคัญ โดยเฉพาะการวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน จะสิ้นสุดลงหรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักอย่างมากต่อดัชนีตลาดหุ้น


ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนให้ “ชะลอลงทุน” (Wait and See) หากจะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่ม ควรรอความชัดเจนของปัจจัยการเมืองก่อน คาดว่าจะมีความชัดเจนในสัปดาห์หน้า หลังศาลมีการนัดพิจารณาอีกครั้ง

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ