เหตุเซียนหุ้น "สิ้นหวัง"

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

เหตุเซียนหุ้น "สิ้นหวัง"

Date Time: 19 มิ.ย. 2567 05:31 น.

Summary

  • ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เซียนหุ้นที่จัดเป็นนักลงทุนต้นแบบของตลาดหุ้นไทยมานานกว่า 3 ทศวรรษ ถึงกับระบายความรู้สึกผ่านหน้าเว็บส่วนตัวว่า เขาและนักลงทุนจำนวนมาก กำลังรู้สึก “ท้อแท้” และ “สิ้นหวัง” กับดัชนีหุ้นที่ร่วงลงต่อเนื่องจนหลุดระดับ 1,300 จุด

Latest

เก็บหุ้นปันผล

คนไทยเรา น่าจะกำลังเจอวิกฤติแห่งช่วงเวลาที่เรียกกันว่า จังหวะนรกโบ๊ะบ๊ะ โดยเฉพาะเรื่องของนักการเมืองน้ำเน่าที่จ้องจะแย่งอำนาจกันอยู่ตลอดเวลาโดยไม่คิดถึงประโยชน์ชาติเป็นหลัก

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เซียนหุ้นที่จัดเป็นนักลงทุนต้นแบบของตลาดหุ้นไทยมานานกว่า 3 ทศวรรษ ถึงกับระบายความรู้สึกผ่านหน้าเว็บส่วนตัวว่า เขาและนักลงทุนจำนวนมาก กำลังรู้สึก “ท้อแท้” และ “สิ้นหวัง” กับดัชนีหุ้นที่ร่วงลงต่อเนื่องจนหลุดระดับ 1,300 จุดแล้วเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

เปิดตลาดในสัปดาห์ที่การเมืองวิปริตจึงมีการเทขายหุ้นในช่วงเช้าจนร่วงลงไปที่ -14.64 จุด หรือ -1.12% มาอยู่ที่ระดับ 1,291.92 จุด หุ้นพื้นฐานดีๆถูกขย่มขายทำกระดานแดงเถือกเกือบหมด

ดร.นิเวศน์ให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นไทยตกลงจาก 1,416 จุดในช่วงต้นปีลงมาเหลือ 1,306 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เท่ากับลดลงไปแล้ว 7.8% น่าจะเป็นตลาดหุ้นที่ตกลงมามากที่สุดในโลกประเทศหนึ่งหลังจากปีที่แล้วก็แย่ที่สุดในโลกแบบเดียวกัน

ถ้ามองจากเหตุผลระยะสั้นทางเทคนิคก็คือ หุ้นไทยตกเพราะนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงเวลานี้ หรือประมาณ 6 เดือน รวมแล้วเกือบแสนล้านบาท จัดเป็นการขายสุทธิที่สูงมากเมื่อเทียบกับอดีตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การขายสุทธิโดยตัวมันเอง ก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นจะต้องลงเสมอไป อย่างหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่ต่างก็ถูกเทขายเหมือนกัน แต่ดัชนีตลาดหุ้นก็ไม่ได้ลง อย่างตลาดหุ้นเวียดนามที่ถูกต่างชาติเทขายหนักมาก แต่ดัชนีหุ้นยังปรับตัวขึ้นมาได้ประมาณ 13% นับจากต้นปี

หรืออย่างตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ก็ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 6% แล้วทั้งๆที่มีปัญหาตกลงมาหนักถึงประมาณ 10% ในช่วงต้นปี

ถ้ามองจากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นไทยที่ตกลงมาประมาณ 7–8% ในเวลาประมาณ 6 เดือนนั้น อาจบอกได้ว่า ไม่ถึงกับรุนแรงมากนัก ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใคร “ถอดใจ” และเกิดความ “ท้อแท้” หรือ “สิ้นหวัง”

เหตุผลก็คือ นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ เป็นนักเทรด หรือซื้อขายหุ้นระยะสั้นที่สามารถทำกำไรในตลาดหุ้นได้ แม้ในยามหุ้นตก

ส่วนนักลงทุนระยะยาวเช่นเดียวกับ ดร.นิเวศน์ ซึ่งยึดโยงการลงทุนโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง พิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ผลประกอบการ ฐานะการเงิน หรือมูลค่าสินทรัพย์ ที่เรียกว่า แนวทาง VI (Value Investing) จะได้กำไรเมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นตามมูลค่าที่แท้จริงนั้นแม้จะเล่นทำกำไรกันได้ทุกวัน

แต่สถานการณ์ในช่วงเวลานี้ หุ้นที่เคยคึกคัก มีสตอรี และปรับตัวขึ้น กลับตกลงมาต่อเนื่องในแบบ Corner แตก หรือถูกต้อนเข้ามุมโดยไม่สนใจมูลค่าพื้นฐาน หุ้นบางตัวตกลงมาเกิน 30-40% ก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุดตกเมื่อไหร่

ปัญหาของตลาดหุ้นไทยจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องชั่วคราว แต่น่าจะเป็นปัญหาถาวรที่เกิดจากโครงสร้างที่แก้ไขยาก เริ่มตั้งแต่ ประชากรแก่เร็ว และเกิดน้อย ตามมาด้วยระบบการปกครองประเทศที่ยังล้าสมัยไม่ตอบสนองเจตจำนงเสรีของคนยุคใหม่ในขณะที่รัฐบาลไม่สามารถมีเสถียรภาพเพียงพอ

สุดท้ายคือ ผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจประเทศ ไม่ปรับตัวให้แข่งขันกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกได้ ขณะที่คู่แข่งก้าวไปข้างหน้า ที่สุด ตลาดหุ้นจึงอยู่ในสถานการณ์ที่นักลงทุนชี้ว่า “ขายหุ้นประเทศไทย”

ปกติ ถ้าร่วมมือกันดี ประเทศชาติก็ไปรอด แต่ถ้าต่างคนต่างเดินแบบนี้ เห็นทีจะเอวัง!.

มิสไฟน์

คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ