ส่อง 5 หุ้นเครื่องดื่ม ฟอร์มพีก OSP โอสถสภา กวาดกำไรมากสุด จับตาหน้าร้อนนี้ หนุนกำไรไปต่อ

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ส่อง 5 หุ้นเครื่องดื่ม ฟอร์มพีก OSP โอสถสภา กวาดกำไรมากสุด จับตาหน้าร้อนนี้ หนุนกำไรไปต่อ

Date Time: 17 พ.ค. 2567 07:00 น.

Video

คนไทยจ่ายภาษีน้อย มนุษย์เงินเดือนรับจบ ปัญหาอยู่ที่ระบบหรือคนกันแน่ ? | Money Issue

Summary

  • “Thairath Money” ได้รวบรวม 5 หุ้นเครื่องดื่มชื่อดัง ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาให้นักลงทุนได้พิจารณากัน จากข้อมูลพบว่า บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OSP รายงานกำไรสุทธิไตรมาสแรกมากที่สุด

Latest


ผ่านไปแล้ว สำหรับฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/67 ของบริษัทจดทะเบียน นักลงทุนต่างให้ความสนใจ “หุ้นเครื่องดื่ม” หลังส่วนใหญ่รายงานกำไรสุทธิออกมาโดดเด่น และเติบโตได้ดี แถมนักวิเคราะห์ฯ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อผลงานในอนาคตอีกด้วย


และเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน ที่มักจะเป็นช่วงพีกของผลประกอบการ และเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หุ้นเครื่องดื่มยิ่งน่าจับตามากขึ้น โดย “Thairath Money” ได้รวบรวม 5 หุ้นเครื่องดื่มชื่อดัง ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาให้นักลงทุนได้พิจารณากัน จากข้อมูลพบว่า บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OSP รายงานกำไรสุทธิไตรมาสแรกมากที่สุด


1.หุ้น OSP : บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน)


มาเริ่มกันที่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OSP รายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1/67 ที่ 828 ล้านบาท เติบโต 6.5% จากปีก่อน โดยกำไรจาก

การดำเนินงานปกติเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 73.2% และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.4% เติบโต 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน


นักวิเคราะห์ฯ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า OSP รายงานกําไรสุทธิเป็นไปตามคาด ผลประกอบการที่เติบโตแข็งแกร่ง มาจากอัตรากําไรขั้นต้นที่ขยายตัวจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง พร้อมกับยอดขายในต่างประเทศที่เติบโตดี โดยเฉพาะเมียนมาและลาว แม้มีเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน


ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มชูกําลังในประเทศฟื้นตัวสู่ระดับ 46.4% ใกล้เคียงกับสมมติฐานที่คาดว่าจะทรงตัวในช่วง 46.5-47.0% ใน ปี 2567-2568 ทั้งนี้คาดว่ากําไรไตรมาส 2/67 จะเติบโตได้ต่อเนื่อง จากสภาวะอากาศที่ร้อน และโมเมนตันยอดขายในตลาดต่างประเทศที่ดีต่อเนื่อง คงคําแนะนํา "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 24.00 บาท


2.หุ้น SAPPE : บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)


ด้าน บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SAPPE รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1/67 ที่ 352.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสุทธิที่สูงที่สุดรายไตรมาสตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ หรือคิดเป็น 19.2% ต่อรายได้จากการขายเติบโต โดยกำไรสุทธิเติบโต 28.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันกับปีก่อนหน้า


บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดกำไรปกติมีโอกาสทำ New High ต่อจนถึงไตรมาส 3/67 เนื่องจากไตรมาส 2/67 บริษัทจะรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาส และไตรมาส 3/67 จะเป็นการเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจ ที่เป็นช่วงฤดูร้อนของยุโรป ประกอบกับการได้รับปัจจัยบวกจากงาน Olympic Summer หนุนการบริโภคในภูมิภาคยุโรป


ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในปี 2657 ของ SAPPE ถึงแม้จะมีปัจจัยเชิงลบจากราคาต้นทุนผลิตที่สูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2567 แต่เนื่องจากความนิยมของสินค้าที่สูงขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง ทำให้คาดกำไรปกติของบริษัทยังสามารถทำสถิติสูงสุดต่อแม้มีฐานสูงในปี 2566 โดยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2567 ที่ 1,345 ล้านบาท โต 24.0% และคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 110.00 บาท


3.หุ้น ICHI : บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) 


บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ICHI รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1/67 ที่ 363.8 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 17% เติบโต 64.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 221.7 ล้านบาท โดยรายได้เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของกลุ่มตลาดชาพร้อมดื่ม และสินค้าใหม่ ส่วนยอดขายจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 10.6% จากรายได้จากการรับจ้างผลิตสินค้า


ด้านความเห็นของ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อกำไรไตรมาส 1/67 สูงสุดในรอบ 10 ปี ที่ 364 ล้านบาท สูงกว่าเราคาด 8% และสูงกว่าตลาดคาด 11% ตามลำดับ จากอัตรากำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรจากอินโดนีเซียที่ดีกว่าคาด โดยรวมกำไรดีทั้งจากรายได้และอัตรากำไร


ทั้งนี้ มองกำไรปี 2567 คาดเติบโต 10% ยังเป็นปีที่ดี ไม่มี Downside แม้รวมผลกระทบอากาศจะเริ่มเปลี่ยนเข้าลานีญาในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมองกำไรไตรมาส 2/67 ยังเพิ่มได้ทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23.2 บาท โดยหุ้นซื้อขายบน P/E ที่ระดับ 19.6 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ และมีอัตราผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่มฯ ที่ 5.5%


4.หุ้น CBG : บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)


สำหรับ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CBG รายงานกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ไตรมาส 1/67 ที่ 628 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุง รวมถึงการแบ่งปันสิทธิผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล EFL ให้แก่บริษัทคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและทำการตลาด


ฝ่ายวิจัยฯ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กําไรสุทธิงวดไตรมาสแรกเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และรายได้จากการจัดจําหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากการจัดจําหน่ายเบียร์ ซึ่งเริ่มวางขายตั้งแต่ไตรมาส 4/66 แม้กําไรไตรมาส 1/67 ออกมามีสัดส่วน 26% ของคาดกําไรทั้งปี 67 แต่ยังคงประมาณการกําไรปี 67 ที่ 2,446 ล้านบาท


ทั้งนี้ คงราคาเป้าหมายที่ 83.00 บาท และคงคําแนะนํา “Outperform” จากระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกําไรที่โตแรง และคาดกําไรโตต่อในไตรมาส 2/67 จากฤดูร้อน ดันยอดขายเครื่องดื่มชูกําลังและเติบโตอีกครั้ง และเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/67

5.หุ้น TACC : บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน)


บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TACC รายงานผลประกอบการว่า กลุ่มบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 60.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.06 ล้านบาท คิดเป็น 42.67% จากงวดเดียวกันของปี จากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้น โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นในปีปัจจุบัน และการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่ต้องบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม


บทวิเคราะห์ฯ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กําไรสุทธิงวดเติบโตแรง หลังจากได้รับผลดีจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว รวมถึงการเติบโตตาม 7-11 ที่มีการเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าช่วงไตรมาส 2/67 ยังคงเห็นการเติบโตต่อเนื่อง เพราะเข้าสู่ฤดูร้อน รวมถึงยังมีการเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่อย่างต่อเนื่อง


ทั้งนี้ ยังคงประเมินรายได้ในปี 2567 เติบโต 11% มาอยู่ที่ 1,894 ล้านบาท และคาดกําไรสุทธิที่ 237 ล้านบาท เติบโต 15% ไว้เท่าเดิม คงแนะนํา “ซื้อ” แต่ให้ระมัดระวัง เพราะราคาหุ้นอาจจะถูกกดดันจากการที่บริษัทจะขายหุ้นซื้อคืนจํานวน 8 ล้านหุ้น ออกมาระหว่างวันที่ 17 พ.ค. 2567 ถึง 18 พ.ค. 2568

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์