บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TU รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/67 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 33,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 17.3% เพิ่มขึ้น 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจหลักปรับตัวขึ้น และกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 93.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ บันทึกผลกำไรสุทธิที่ 1,153 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิที่ 3.5%
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TU เปิดเผยว่า การที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักในกลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋อง, กลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง และโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีอัตราการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ นับเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้กลับมาเติบโตพร้อมสร้างผลกำไรและมูลค่าเพิ่มได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนได้แสดงให้เห็นว่าเราสามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ท้าทายได้รวดเร็วและเป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา และมั่นใจว่าการเดินหน้าในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยบวกทำให้ไทยยูเนี่ยนเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่งในที่สุด
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในไตรมาสที่ผ่านมากับกำไรสุทธิที่ปรับปรุงในช่วงเดียวกันปี 2566 นับเป็นการขยายตัวที่ดีและแข็งแกร่ง โดยปัจจัยสำคัญมาจากภาพรวมของทุกกลุ่มธุรกิจที่เติบโตขึ้น แม้ว่าจะมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง ส่วนแบ่งกำไรที่น้อยลง รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น และมีค่าใช้จ่ายทางด้านภาษีที่มากขึ้นก็ตาม
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมุ่นมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงิน ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่เกณฑ์ที่ดี 0.82 เท่า ณ สิ้นไตรมาสแรก ปี 2567 ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับที่บริษัทตั้งเกณฑ์ไว้ และเมื่อต้นปี 2567 ไทยยูเนี่ยนมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินครั้งที่ 3 ในวงเงินไม่เกิน 3,600 ล้านบาท และไม่เกิน 200 ล้านหุ้น เพื่อแสดงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้น รวมถึงช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นให้ดีขึ้น
โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 บริษัทฯ ได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนแล้วจำนวน 86 ล้านหุ้น พร้อมตั้งเป้าว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จตามกำหนดในเดือนมิถุนายน ปี 2567
ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ผ่านมา Japan Credit Rating หรือ JCR ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทยยูเนี่ยนจาก A- ไปเป็น A แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ โดยอยู่ในอันดับเดียวกับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอีกด้วย
"ผมมั่นใจว่าแผนยุทธศาสตร์องค์กรเพื่อมุ่งสู่ปี 2573 จะช่วยเตรียมความพร้อมและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เพื่อดูแลสุขภาพที่ดีของผู้คน สัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้ จากเป้าหมายปัจจุบันที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งสร้าง "การมีสุขภาพที่ดีและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ หรือ Healthy Living, Healthy Oceans" นี่จึงนับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นและใส่ใจกับการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน" ธีรพงศ์ กล่าว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้