บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เริ่มถูกจับตาอีกครั้งโดยเฉพาะทิศทางผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ อาจพลิกขาดทุน หลังจากต้องบันทึกรายการพิเศษ ในขณะที่กำไรปกติยังน่าห่วงเช่นกัน โดยทิศทางในไตรมาสที่ 2 นักวิเคราะห์มองว่า อาจพลิกมีกำไรได้ หากค่าการกลั่นฟื้นตัว และผลกระทบจาก โครงการราคาก๊าซฯ ของประเทศไทยใหม่ ไม่รุนแรงมานัก
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส คาดผลการดำเนินงานสุทธิไตรมาสที่ 1 จะพลิกกลับมาเผชิญผลขาดทุนอีกครั้งราว 755 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าเป็นกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท กดดันหลักจาก รายการพิเศษที่สุทธิเป็นค่าใช้จ่ายสุทธิที่ราว 1.2 พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้า เป็นรายได้พิเศษรวมสูงถึง 7.2 พันล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานปกติไตรมาสที่ 1 คาดจะพลิกกลับเป็นกำไรปกติได้มาอยู่ราว 405 ล้านบาท จากงวดก่อนหน้าที่ เผชิญกับผลขาดทุน 2.1 พันล้านบาท รับผลบวกหลักจากธุรกิจปิโตรเคมีทั้งโอ เลฟินส์ โพลีเมอร์และอะโรเมติกส์ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้น
ทิศทางผลการดำเนินงานปกติไตรมาสที่ 2 คาดอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน มีโอกาสเผชิญขาดทุนบางๆ อีกครั้ง กดดันจากธุรกิจโรงกลั่น เบื้องต้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2567 ที่จะค่อยๆ เห็น การฟื้นตัวกลับมาในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งให้น้ำหนักการฟื้นตัวอยู่ในช่วง ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามทิศทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นความหวังหลักในภูมิภาค เอเชีย ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นคาดค่าการกลั่นจะกลับสู่ภาวะปกติสะท้อน demand และ supply ที่แท้จริง
โดยกำหนดสมมติฐานค่าการกลั่นไว้ที่ 6 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ลดลงจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ในประมาณการของฝ่ายวิจัยได้รวมผลกระทบ เบื้องต้นของการปรับโครงการราคาก๊าซฯ ของประเทศไทยใหม่เป็น Single Pool Gas ภายใต้หลักความระมัดระวังไว้ก่อน
ถึงแม้ปัจจุบันทั้ง PTT และ PTTGC รวมถึงภาครัฐยังอยู่ระหว่างการปรึกษาหาแนวทางแก้ไข อย่างไรก็ตามหากมี แนวทางที่เป็นบวกมากขึ้นก็จะถือเป็น upside ต่อประมาณการ และ Fair value ทั้งนี้ในช่วงสั้นฝ่ายวิจัยคาดทิศทางผลการดำเนินงานปกติงวดไตรมาสที่ 2 มีโอกาส เห็นการอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากงวดไตรมาสที่ 1
โดยอาจปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ Breakeven หรืออาจเผชิญกับผลขาดทุนบางๆ อีกครั้ง ถูกกดดันหลักจากธุรกิจ โรงกลั่นที่พบว่าค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์งวด ไตรมาสที่ 2 ลดลงมาอยู่ราว 4.2 จาก 7.3 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดไตรมาสที่ 1 ซึ่งเป็นไปตามช่วงฤดูกาลหลัง ผ่านช่วง high season ไปแล้วในไตรมาส 1 ของทุกปี ภายใต้สถานการณ์ปกติ
อย่างไรก็ตามต้องลุ้นแนวโน้ม spread ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ และสายอะโรเมติกส์จะขยับตัวขึ้นได้มากที่จะช่วยชดเชยค่าการกลั่นที่อ่อนตัวได้มาก น้อยเพียงใด เพราะในส่วนของกลุ่มปิโตรเคมีคาดจะยังได้รับผลบวกต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะจีน รวมถึงคาดจะได้รับผลบวกจากปริมาณขายที่จะเพิ่มขึ้นของกลุ่มโอเลฟินส์ จากการกลับมา เดินเครื่องปกติไม่หยุดซ่อมของโรงโอเลฟินส์ I4-2 เช่นที่เกิดขึ้นในงวดไตรมาสที่ 1 ส่วนของรายการพิเศษอื่นๆในงวดไตรมาสที่ 2 หากราคาปิดน้ำมันดิบดูไบช่วงสิ้นงวด อยู่เหนือ 81 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จะบันทึกเป็นกำไรจากสต๊อกน้ำมัน แต่ถ้าอยู่ต่ำกว่าจะบันทึกกลับเป็นขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน เบื้องต้นคาดในงวดไตรมาสที่ 2
โอกาส ที่จะบันทึกกำไรหรือขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันอาจจะไม่มากนัก เช่นเดียวกับในส่วน ของ hedging ที่คาดมีโอกาสที่จะบันทึกขาดทุน/กำไรจาก hedging ไม่มากเช่นกัน
บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ ประเมินว่า การดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ค่อนข้างผิดหวังหากเทียบกับกลุ่ม เนื่องจากกลุ่มโรงกลั่นที่อ่อนลงส่วนปิโตรเคมีก็ยังทรงตัว และยังได้รับผลจาก ต้นทุนแนฟทาเพิ่มขึ้น ขณะที่แนวโน้มไตรมาสที่ 2 เราคาดมีแนวโน้มลดลงอีกตามส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มโรงกลั่นที่ลดลงส่วนปิโตรฯ คาดยังทรงตัว แต่สิ่งที่จะช่วยคือรายการ พิเศษเชิงลบคาดจะลดลง เราคาดว่าราคาหุ้นยังเกาะไปกับกลุ่มได้ หาก GRM ฟื้น และโดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ กลับมาฟื้นตัวได้ นักลงทุนระยะยาวเราแนะ wait & see ไปก่อน ส่วนนักลงทุนระยะสั้นแนะรอเล่นตามข่าวเกี่ยวเนื่องกับอุปสงค์ที่ฟื้นตัว
ผลการดำเนินงานของ PTTGC ในไตรมาสแรกของปี 2567 จะขาดทุน -1,147 ล้านบาท แย่ลงทั้งจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากรายการพิเศษ แม้กลุ่มโรงกลั่น คาด GRM จะเหลือเพียง 8.34 ดอลลาร์ต่อราเรล จาก 9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา
เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนการผลิตดีเซลมากกว่า 60% และส่วนต่างราคาดีเซล ลดลง 1.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ขณะที่ กำลังการกลั่นคาดอยู่ที่ 106% ส่วนกลุ่มอะโรเมติกส์ดีขึ้นจากส่วนต่างราคาทั้ง PX และ BZ เพิ่มขึ้น ขณะที่อัตรากำลังการผลิตอยู่ที่ 83%
กลุ่ม Intermediate ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แม้ในส่วนไกเคิลจะดีขึ้น แต่ฟีนอลลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบอย่าง BZ เพิ่มขึ้น ส่วน MEG หดตัวจากราคาเอทิลีนที่ ปรับตัว เพิ่มสูงขึ้น กลุ่ม Polymer แม้ราคา PE จะดีขึ้น แต่ราคาแนฟทาที่เพิ่มขึ้น
อีกทั้งไตรมาสนี้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มจาก 29% เป็น 32% ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น กลุ่ม Performance ทรงตัวจากไตรมาสก่อน แม้ Allnex ดีขึ้นจากปริมาณขายกลับมาเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ในยุโรปค่าขนส่งเพิ่ม ทำให้ มี ความได้เปรียบการใช้ในยุโรปแทนการนำเข้า
และในเอเชียดีขึ้นจากการขยายตลาด แต่ Vencorex ยังได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคา รายการพิเศษสูงถึง 1,506 ล้านบาท แม้เราคาดว่าผลการ ดำเนินงานปกติจะมีกำไร 359 ล้านบาท แต่คาดจะมีรายการ พิเศษเชิงลบ 1,506 ล้านบาท ประกอบด้วย 1 กำไรจากการป้องกันความเสี่ยง 146 ล้านบาท 2 กำไรจากสต๊อก 328 ล้านบาท และ 3 ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาท อ่อนค่าถึง 1,980 ล้านบาท ทำให้ในภาพรวมจึงคาดว่าจะพลิกมาขาดทุนสุทธิ 1,147 ล้านบาท แย่ลง 122.6% จากไตรมาสก่อน