เป็นที่น่าจับตาสำหรับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GULF ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศไทย หลังสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ประกาศแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ คาดว่า GULF จะเป็นผู้รับอานิสงส์รายใหญ่ที่สุด ซึ่งล่าสุดประกาศเดินเครื่องโรงไฟฟ้าระยองเพิ่ม 662 เมกะวัตต์ สัญญาขายไฟกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กว่า 25 ปี
โดยบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GULF แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2567 บริษัท กัลฟ์ พีดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ และเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ พีดี (GPD) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 3 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นที่เรียบร้อยตามกำหนด
โครงการ GPD เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined-Cycle Gas Turbine) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง มีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ (แบ่งเป็น 4 หน่วยผลิต หน่วยผลิตละ 662.5 เมกะวัตต์) ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ปลวกแดง) อำเภอปลวกแดงจังหวัดระยอง โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปี
ทั้งนี้ หน่วยผลิตที่ 1 และ 2 ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2566 และ 1 ตุลาคม 2566 ตามลำดับ ในขณะที่หน่วยผลิตที่ 4 มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คงคำแนะนำซื้อ GULF และเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 57 บาท โดยเชื่อว่า GULF จะเป็นผู้รับอานิสงส์รายใหญ่ที่สุดจากการประมูลกำลังการผลิตไฟฟ้าในอนาคต ทั้งแบบดั้งเดิมและพลังงานทดแทนภายใต้แผน PDP ใหม่
จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่าร่าง PDP ใหม่อาจเปิดให้มีการประชาพิจารณ์ได้ในช่วงปลายเดือน เม.ย.67 นี้ และมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้น สมมติว่า GULF ชนะประมูล 30% ของกำลังการผลิตใหม่จะมีอัปไซด์คิดเป็น 7% ต่อประมาณการมูลค่ายุติธรรม
จากโครงการที่มีคาดการณ์กำไรหลักปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน เป็น 1.76 หมื่นล้านบาท โดยได้แรงหนุนหลักมาจากการขยายกำลังการผลิต 20% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจาก
นอกจากนี้ คาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ของบริษัทจะดีขึ้นเนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติน่าจะเริ่มลดลง โดยกำลังการผลิต SPP คิดเป็น 16% ของกำลังการผลิตรวมของ GULF
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น GULF เคลื่อนไหวแย่กว่าหุ้น BGRIM และหุ้น GPSC โดยราคาหุ้น GULF เพิ่มขึ้นเพียง 2.3% เทียบกับ GPSC ที่เพิ่มขึ้น 42.3% และ BGRIM ที่เพิ่มขึ้น 26.1% ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าราคาหุ้น GULF ยังคง Laggard และน่าสนใจมาก.
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้