บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ITD รายงานงบการเงินประจำปี 2566 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าบริษัทฯ มีการแบ่งปันขาดทุนสำหรับปี ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัท จำนวน 1,072 ล้านบาท ขาดทุนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนเป็นจำนวน 3,686 ล้านบาท
โดยบริษัทมีกำไรขั้นต้น จำนวน 3,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรขั้นต้น จำนวน 2,699 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 เท่ากับร้อยละ 6.26 เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 4.00 เนื่องจากการกำไรเพิ่มขึ้นของบริษัทย่อยบางแห่ง รวมถึงการลดลงของผลขาดทุนจากการให้บริการก่อสร้างในต่างประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการให้บริการรับเหมาก่อสร้าง จำนวน 56,936 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวน 2,719 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการก่อสร้างของโครงการที่ใกล้แล้วเสร็จ รวมถึงการปรับปรุงรายได้จากการให้บริการก่อสร้างเนื่องจากต้นทุนในการให้บริการรับเหมาก่อสร้างบางรายการยังไม่ส่งมอบบริการให้แก่ลูกค้า ทำให้ยังไม่สามารถรับรู้เป็นรายได้จากการให้บริการก่อสร้าง และปรับปรุงต้นทุนดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ต้นทุนการทำงานให้เสร็จสิ้นตามสัญญา
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้นำส่งงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ซึ่งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของบริษัทฯ ได้ตรวจสอบและรับรองงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการของกลุ่มบริษัทและบริษัทฯ โดยไม่แสดงความเห็นด้วยเหตุที่ได้ พิจารณาถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทฯ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
ตามหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 1.2 ระบุว่า สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566 กลุ่มบริษัทและบริษัทฯ มี ขาดทุนหลังภาษีจำนวน 421.54 ล้านบาท และ 194.87 ล้านบาท ตามลำดับ และมีขาดทุนสะสมจำนวน 6,426.67 ล้านบาท และ 5,390.66 ล้านบาท ตามลำดับ (2565: 4,475.58 ล้านบาท และ 3,622.58 ล้านบาท ตามลำดับ) อีกทั้งมีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่า สินทรัพย์หมุนเวียนจำนวน 26,711.54 ล้านบาท และจำนวน 29,977.68 ล้านบาท ตามลำดับ
ซึ่งหนี้สินหมุนเวียนส่วนใหญ่ ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นจากตั๋วสัญญาใช้เงิน และทรัสต์รีซีต/เลตเตอร์ออฟเครดิต และเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน ที่ถูกจัดประเภทเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น หุ้นกู้และหุ้นกู้ที่ถูกจัดประเภทเป็นหุ้นกู้ที่จะถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566
บริษัทฯ ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาเงินกู้ในเรื่องการดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นซึ่ง คำนวณจากงบการเงินรวมที่ถูกกำหนดไว้ในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงินบางแห่ง จากการผิดเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ดังกล่าว ข้างต้น สถาบันการเงินมีสิทธิเรียกชำระคืนเงินกู้ยืม
ทั้งนี้ ธนาคารไม่ได้ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับ หนังสือจากสถาบันการเงินให้ความยินยอมและผ่อนผันเงื่อนไขในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567และวันที่ 18 มีนาคม 2567
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่ากลุ่มบริษัทและบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานธุรกิจและกลยุทธ์ทางการเงินเพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่ากลุ่มบริษัทและบริษัทฯ จะมีสภาพคล่องอย่างเพียงพอและมีความสามารถในการชำระหนี้เมื่อครบกำหนดและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
แต่ปัจจัยในด้านสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทและบริษัทฯ ขึ้นอยู่กับการเรียกใช้สิทธิในการเรียกให้ชำระคืนเงินกู้ยืมของธนาคารและหุ้นกู้ ความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนดังกล่าว การจัดหาแหล่งเงินทุนอื่นเพิ่มเติมเพื่อใช้ในการดำเนินงาน การปรับปรุงแผนธุรกิจและการดำเนินงานในอนาคต และความสามารถในการจ่ายชำระเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ได้ตามวันครบกำหนดใหม่ รวมถึงการสนับสนุนของวงเงินสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง และการเจราจาเรียกเก็บเงินค่าก่อสร้างจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องสำหรับการลงทุนในหลายโครงการ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้นแสดงถึงความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญหลายประการซึ่งอาจความสัมพันธ์กันและมีความเป็นไปได้ที่จะมีผลกระทบต่องบการเงินเพิ่มขึ้นจนเป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทและบริษัทฯ
บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า การที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการของกลุ่ม บริษัทและบริษัทฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31ธันวาคม 2566 ไม่ได้มีสาเหตุจากการถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหาร หรือผิดมาตรฐานการบัญชีไทย แต่เกิดจากผลกระทบต่อความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญตามสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการตามแผนการธุรกิจและกลยุทธ์ทางการเงินเพื่อให้เชื่อมั่นได้ว่ากลุ่มบริษัทและบริษัทฯ จะมีสภาพคล่องอย่างเพียงพอ
และมีความสามารถในการชำระหนี้เมื่อครบกำหนดและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวทางการดำเนินการที่สำคัญ ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567 บริษัทฯ ได้จัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่ ITD242A, ITD24DA, ITD254A, ITD266A และ ITD24DB ซึ่งมียอดเงินต้นค้างชำระรวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 14,445 ล้านบาท โดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้แต่ละรุ่นออกไปอีก 2 ปีนับจากวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้เดิม รวมถึงเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินรวมข้อ 49.1
ทั้งนี้ เมื่อมีการขยายวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้แต่ละรุ่นออกไปอีก 2 ปีนับจากวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้เดิมแล้ว หนี้สินหมุนเวียนของบริษัทฯ ที่ถึงกำหนดชำระใน 1 ปี ในไตรมาสหนึ่งของปี 2567จะลดลง นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ทั้ง 5 รุ่นได้มีมติอนุมัติผ่อนผันการดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นตามที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดสิทธิ โดยให้มีผลตั้งแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี 2566 จนถึงวันสิ้นสุดรอบปีบัญชี 2568 และผ่อนผันให้ผู้ออกหุ้นกู้ดำเนินการเจรจาหรือเข้าทำสัญญาใดๆ กับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้โดยไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดสิทธิ
2. บริษัทฯ ได้ขอผ่อนผันเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำรงสัดส่วนทางการเงินกับสถาบันการเงินบางแห่งและได้รับการผ่อนผันการปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวจากธนาคารแล้ว โดยบริษัทฯ ได้รับหนังสือแจ้งอนุโลมการปฏิบัติเงื่อนไขดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 และ 18 มีนาคม 2567 ตามที่ได้กล่าวถึงในหมายเหตุประกอบงบการเงินรวมข้อ 49.2 ซึ่งจากการไม่สามารถดำรงสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าว สถาบันการเงินสถาบันการเงินมีสิทธิเรียกชำระคืนเงินกู้ยืม แต่สถาบันการเงินไม่ได้ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว ดังนั้น การไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเรื่องการดำรงสัดส่วนทางการเงินดังกล่าวจึงไม่เป็นเหตุให้บริษัทฯ ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในสัญญากู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน
อนึ่ง บริษัทฯ มีแนวทางการจัดการปัญหาการขาดสภาพคล่อง โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจาข้อตกลงกับกลุ่มเจ้าหนี้ธนาคารหลักเพื่อขอรับการสนับสนุนด้านสินเชื่อทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว เพื่อให้บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันบริษัทฯ ทยอยได้รับสินเชื่อมาบางส่วนแล้ว และคาดว่าบริษัทฯ และกลุ่มเจ้าหนี้ธนาคารหลักจะตกลงเรื่องสัญญาการให้สินเชื่อจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยเพื่อให้บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องต่อไป
3. บริษัทฯ อยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนระบบการทำงานและระบบควบคุมเพื่อลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเพื่อให้บริษัทฯ มีความสามารถในการแข่งขันและมีกำไรจากผลการดำเนินงานโดยมีการกำหนดเป้าหมายชัดเจน และมีการรายงานผลประจำทุกเดือน และมีแผนการขายสินทรัพย์ที่ไม่ใด้ใช้ในการดำเนินงานเพื่อลดภาระหนี้ของบริษัทฯ
4. บริษัทฯ เชื่อมั่นในศักยภาพและโอกาสที่จะได้รับงานโครงการก่อสร้างขั้นพื้นฐานต่างๆ ที่ทางภาครัฐและเอกชนอยู่ระหว่างการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง เป็นจำนวนมาก ได้แก่ งานสร้างถนน ทางด่วน รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง การขยายสนามบิน ทั้งในปริมณฑลกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดหลัก เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น เนื่องจากบริษัทฯ มีประสบการณ์และผลงานในอดีตที่สามารถแข่งขันได้ทุกประเภท
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้