JMART ปี 66 พลิกขาดทุน 447 ล้าน “สุกี้ตี๋น้อย” สร้างกำไรให้ 274 ล้าน ก็พยุงไม่ไหว

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

JMART ปี 66 พลิกขาดทุน 447 ล้าน “สุกี้ตี๋น้อย” สร้างกำไรให้ 274 ล้าน ก็พยุงไม่ไหว

Date Time: 13 ก.พ. 2567 17:07 น.

Video

ดร.พิพัฒน์ KKP กระเทาะโจทย์เศรษฐกิจไทย บุญเก่าเจอความเสี่ยง บุญใหม่มาไม่ทัน

Summary

  • JMART รายงานผลประกอบการปี 2566 ขาดทุน 447 ล้านบาท จากปี 2565 ทำได้ที่ 1,794.96 ล้านบาท แม้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (สุกี้ตี๋น้อย หรือ Suki Teenoi) ร้อยละ 30 หรือ 274 ล้านบาท จากผลกำไรสุทธิรวม 913 ล้านบาท

บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น JMART รายงานผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า สำหรับผลการดำเนินการของบริษัทและบริษัทย่อย งบการเงินรวม ประจำปี 2566 บริษัทมีผลขาดทุน 447 ล้านบาท จากปี 2565 ทำได้ที่ 1,794.96 ล้านบาท


ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากสินทรัพย์ทางการเงินอื่นจำนวน 843 ล้านบาท บริษัทจะมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเท่ากับ 396 ล้านบาท โดยรายละเอียดของผลการดำเนินงานของแต่ละสายธุรกิจ และทิศทางของผลประกอบการในอนาคต อธิบายได้ดังต่อไปนี้


1. ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เสริม ธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์เสริม ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (“เจมาร์ท โมบาย”) ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีจำนวนสาขาที่เปิดทั่วประเทศ จำนวน 319 สาขา (รวม IT Junction) มียอดขายลดลงร้อยละ 8.9 จากปีที่ผ่านมา โดยมียอดขายอยู่ที่ระดับ 8,699 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 119 ล้านบาท โดยจำหน่ายโทรศัพท์มือถือได้จำนวน 0.7 ล้านเครื่อง


บริษัทยังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อทิศทางของผลการดำเนินงาน ในปี 2567 ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมียอดขายที่สูงกว่าปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากเทคโนโลยีใหม่อย่าง Generative AI จะทำให้ลูกค้าสนใจสมาร์ทโฟนที่รองรับ AI มากขึ้น และการทำ Synergy เพิ่มเติมร่วมกับบริษัทในกลุ่ม เช่น การปล่อยสินเชื่อมือถือด้วยการล็อกมือถือ หากไม่มีการผ่อนจ่ายสินเชื่อ เช่น Samsung Finance Plus


2. ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) (“เจเอ็มที”) ยังคงเป็นธุรกิจที่มีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา เจเอ็มทีบรรลุเป้าหมายการทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,010.7 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าร้อยละ 15.2 


บริษัทยังคงมีมุมมองในการเติบโตของบริษัทในเชิงบวก โดยยังคงตั้งเป้าหมายในการทำผลประกอบการให้เพิ่มจากปี 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากในปีที่ผ่านมา เจเอ็มที มีการลงทุนซื้อด้อยคุณภาพแบบไม่มีหลักประกันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะสร้างการจัดเก็บกระแสเพิ่มขึ้นในอนาคต


3. ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) (“เจเอเอส”) มีผลการดำเนินงานในปี 2566 มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 192.6 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 4.8 โดยสาเหตุที่เจเอเอสมีผลกำไรสุทธิลดลง เนื่องจากการตั้งสำรองหนี้สูญและมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้า ซึ่งทั้งสองรายการเป็นรายการเพียงครั้งเดียว (One time item) ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา


บริษัทมีมุมมองเชิงบวกในผลประกอบการของบริษัทย่อย เจเอเอส ในอนาคตปี 2567 โดยในปี 2567 นี้ เจเอเอส แอสเซ็ท มีแผนจะเปิดศูนย์การค้าอีก 3 โครงการ คือ JAS Green Village รามคำแหง JAS Green Village ประเวศ และ JAS Green Village ขอนแก่น ซึ่งปัจจุบันได้อยู่ระหว่างการพัฒนา และมีพื้นที่ในการพัฒนาโครงการเรียบร้อยแล้ว


4. สายธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมสินเชื่อเช่าซื้อ และ Car for Cash บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) (“ซิงเกอร์”) มีผลขาดทุนสุทธิ 3,210 ล้านบาท และสำหรับบริษัทย่อย บริษัท เอส จี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) มีผลขาดทุนสุทธิ 2,275 ล้านบาท เนื่องจากลูกหนี้สินเชื่อเช่าซื้อที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 


สำหรับปี 2567 นี้ บริษัทมีมุมมองเชิงบวกในด้านผลการดำเนินงานของซิงเกอร์ เนื่องจากได้ผ่านช่วงของการปรับกระบวนการทำงาน และประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น และเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ ทำให้คุณภาพของลูกหนี้ดีขึ้นตามลำดับ และได้มีการตั้งสำรองหนี้ด้อยคุณภาพไว้ได้เพียงพอกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นแล้วในปีที่ผ่านมา


5. สายงานทางด้านเทคโนโลยี บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (“เจเวนเจอร์ส”) ถือเป็นบริษัทย่อยของเจมาร์ท ที่ดำเนินงานทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมา เจเวนเจอร์ส ได้มีการพัฒนาสำคัญในหลายเรื่องด้วยกัน อาทิ เจเวนเจอร์ส ได้เข้าเป็นสมาชิก NDID (National Digital ID) โดยพร้อมเป็น Public IdP (Public Identity Provider) เพื่อให้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลแก่สมาชิก NDID RP หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เช่น กลุ่มองค์กร บริษัทธุรกิจในด้านต่างๆ ที่ต้องการใช้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (eKYC) และการผลักดันให้ JFIN Chain ซึ่งเป็น Blockchain มาใช้ในธุรกิจมากขึ้น เช่น การร่วมกับ BitmonsterNFT และเกม NFT เป็นต้น


6. กลุ่มบริษัทที่เจมาร์ทได้เข้าลงทุน (New Investment) ได้แก่ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด (สุกี้ตี๋น้อย หรือ Suki Teenoi) โดยบริษัทร่วมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้นร้อยละ 30 ปัจจุบัน Suki Teenoi มีสาขารวมทั้งหมด 55 สาขา (ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566) โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา Suki Teenoi ได้เปิดสาขาเพิ่มขึ้น จำนวน 13 สาขา โดยสาขาที่เปิดเพิ่มมีส่วนหนึ่งที่ได้เริ่มขยายออกไปต่างจังหวัด เช่น ชลบุรี สุพรรณบุรี และนครราชสีมา เป็นต้น ซึ่งเป็นทำเลที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการค่อนข้างหนาแน่น ด้วยแนวคิดของการให้บริการที่เข้าถึงความต้องของลูกค้าที่อยากทานสุกี้ ชาบู ที่มีราคาคุ้มค่าต่อการบริโภค จึงทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างดี


ทั้งนี้ สำหรับปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น Teenoi ร้อยละ 30 เท่ากับ 274 ล้านบาท จากผลกำไรสุทธิรวม 913 ล้านบาท (ไม่รวมการปันส่วนราคาซื้อ (PPA)) และได้ดำเนินกิจกรรมการทางการตลาดร่วมกับกลุ่มบริษัทเจมาร์ท เช่น การนำคะแนนสะสมแลกเป็นค่าบุฟเฟต์ตามที่กำหนด เป็นต้น


นอกจากนี้ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) รับรู้ผลประกอบการจากการเข้าลงทุนใน บริษัท น้ำตาลบุรีรัมย์ จำกัด (มหาชน) (“BRR”), บริษัท พีอาร์ทีอาร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“PRTR”), บริษัท ซุปเปอร์ เทอร์เทิล จำกัด (มหาชน) (“TURTLE”) และบริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (“SGC”) ซึ่งจัดประเภทเงินลงทุนเป็นมูลค่ายุติธรรมผ่านงบกำไรขาดทุน

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ