ปิดดีลแล้ว สำหรับธุรกรรมของ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ที่จะเข้าซื้อ Chevron Asia Pacific Holdings Limited (CAPHL) ในการเข้าซื้อธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้แบรนด์ “คาลเท็กซ์” ซึ่งส่งผลดีกับ SPRC โดยตรง ซึ่งเป็นการต่อยอดธุรกิจโรงกลั่นไปถึงปลายน้ำ โดยนักวิเคราะห์มองบอกกับดีลดังกล่าว ที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับ SPRC และสร้างส่วนเพิ่มของกำไรได้ถึงปีละ 500-1,000 ล้านบาท
โรเบิร์ต โดบริค กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) SPRC เปิดเผยว่า SPRC ประกาศเสร็จสิ้นการทำธุรกรรมกับ Chevron Asia Pacific Holdings Limited (CAPHL) ในการเข้าซื้อธุรกิจการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้แบรนด์ “คาลเท็กซ์” ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสริมห่วงโซ่คุณค่าให้กับ SPRC ในฐานะโรงกลั่นและทำตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยอย่างครบวงจร
“SPRC มีความยินดีและต้อนรับธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงของ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด เข้ามาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน การผสานธุรกิจการตลาด และจัดจำหน่ายเชื้อเพลิงเข้ากับการกลั่นน้ำมันจะเสริมสร้างโอกาสการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ”
SPRC จะยังคงจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์® และ เทครอน ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจและอยู่เคียงคู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนานกว่า 75 ปี โดยหวังว่าจะสามารถนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงให้กับลูกค้าผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ทั่วประเทศ
ชาแชงค์ นานาวาติ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านการพาณิชย์ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) อดีตประธานกรรมการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การรวมธุรกิจการกลั่นและการตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถสร้างเสริมคุณค่าของแบรนด์ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วยการเติมเต็มประสบการณ์อันน่าประทับใจได้อย่างครอบคลุม ซึ่งจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นให้กับผู้ถือหุ้น และผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ของเรา นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มทักษะความรู้ความสามารถของพนักงานให้มีความพร้อมในการมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อการเติบโตในระยะยาวต่อไป
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการบริหารโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังการกลั่นน้ำมันดิบสูงถึง 175,000 บาร์เรลต่อวันแล้ว SPRC มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์ คาลเท็กซ์ เทครอน ผ่านสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ประมาณ 450 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งดำเนินการโดยพันธมิตรทางธุรกิจมืออาชีพ การเข้าซื้อธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ยังรวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อันได้แก่ สัดส่วนการถือครองหุ้นร้อยละ 9.91 ในบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด สัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 2.51 ในบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) การลงทุนในบริษัทเอกชนที่ถือครองที่ดินแปลงที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และคลังน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสงขลา และสุราษฎร์ธานีด้วย
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลัก เอเซีย พลัส ประเมินว่า SPRC ประกาศเข้าลงทุนแล้วเสร็จในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ซึ่ง ประกอบด้วยธุรกรรม 1) เข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท เชฟรอน ลูบริแคนท์ (ประเทศ ไทย) จำกัด, 2) เข้าซื้อหุ้น 9.91% ในบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (Thappline) และ 3) เข้าลงทุนซื้อหุ้น 49% ในบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ 2 บริษัท เพื่อดำเนินการซื้อที่ดินสำหรับใช้ประกอบธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
อย่างไรก็ตาม SPRC ได้ให้ ประมาณการกำไร (ขาดทุน) ก่อนภาษีของบริษัท เชฟรอน ลูบริแคนท์ และปันผลรับจาก Thappline เท่านั้น ซึ่งจะรับรู้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 เป็นต้นไป ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงบวกต่อประเด็นดังกล่าว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่ ธุรกิจใหม่ของ SPRC โดยจะเป็นการต่อยอดจากธุรกิจโรงกลั่นไปสู่ธุรกิจปลายน้ำ คือ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน และสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการเข้าถึงฐานลูกค้า ปลายทางในธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
อีกทั้ง จะช่วยให้SPRC รับรู้ รายได้และกำไรจากการเข้าลงทุนดังกล่าวเข้ามาได้ทันทีตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 เป็นต้นไป และ เป็นส่วนช่วยกระจายสัดส่วนรายได้ เพื่อลดการพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่จากกลุ่ม Chevron ลงได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังคาดหวังประโยชน์จากการเกิดจากการร่วมมือใหม่ๆ ซึ่งคาดจะก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากร รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ร่วมกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในส่วนของรายละเอียดธุรกรรมดังกล่าว จะประกอบด้วย
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างสอบถามรายละเอียดดังกล่าวเพิ่มเติมกับทาง SPRC โดยจะทบทวนประมาณการและมูลค่าพื้นฐานใหม่ และจะนำเสนอในรายละเอียดอีก ครั้งหนึ่ง โดยหากอิงกำไร (ขาดทุน) ก่อนภาษีของบริษัท เชฟรอน ลูบริแคนท์ ในปี 2562 –2564 ที่ SPRC เคยมีการเปิดเผย จะอยู่ที่ 779, (255), และ 952 ล้านบาท ขณะที่ปันผลรับตามสัดส่วนถือหุ้น 9.91% จะอยู่ที่ 174, 170, และ 129 ล้านบาท ตามลำดับ เบื้องต้น คาดจะช่วยสร้างกำไรให้ SPRC ภายหลังจากหักดอกเบี้ยและ ภาษีสุทธิที่ราว 0.5 –1.0 พันล้านบาท/ปี คิดเป็นมูลค่าเพิ่มที่ราว 0.5–1.0 บาท/ หุ้น ช่วงสั้นอาจหาจังหวะเข้าTrading จากประเด็นข่าวเชิงบวกดังกล่าวได้