เปิด 3 หุ้นเด่นต้องซื้อในปี 2567 3 โบรกฯ ชี้เน้นบริโภคในประเทศ CPALL เป็นดาวเด่น!!

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

เปิด 3 หุ้นเด่นต้องซื้อในปี 2567 3 โบรกฯ ชี้เน้นบริโภคในประเทศ CPALL เป็นดาวเด่น!!

Date Time: 31 ธ.ค. 2566 07:00 น.

Video

“The Summer Coffee Company” มากกว่า เครื่องดื่ม คือ ความสุข | Brand Story Exclusive EP.3

Summary

  • “Thairath Money” พาทุกคนไปสำรวจความเห็น 3 นักวิเคราะห์หลักทรัพย์พร้อมเปิดลิสต์หุ้นเด่น 3 ตัว สำหรับปี 2567 โบรกฯ แนะเน้นหุ้นอิงบริโภคในประเทศ ชี้ CPALL เด่นสุด

Latest


ซื้อหุ้นอะไรดี? อาจเป็นคำถามที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ปีใหม่ 2567 วันนี้ “Thairath Money” จะพาทุกคนไปสำรวจความเห็น 3 นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ชื่อดัง พร้อมเปิดลิสต์หุ้นเด่น 3 ตัว ว่าจะมีความน่าสนใจในการลงทุนขนาดไหน เพื่อให้ทุกคนไปปรับใช้ให้เข้ากับพอร์ตการลงทุนของตัวเอง


มาเริ่มกันที่ความเห็นของ วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 แนะนำลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมภายในประเทศ จากมีโอกาสเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนกว่าเศรษฐกิจโลก โดยแนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CPALL ที่ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท คาดว่ากำไรไตรมาส 4/66 จะโตต่อเนื่อง ทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 3/66 จากการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่ดี และการขาดหายไปของค่าตอบแทนพนักงานพิเศษที่เกิดขึ้นปีก่อน ปัจจัยบวกสำคัญคือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้จากมาตรการกระตุ้นภาครัฐผ่านนโยบายเงินดิจิทัล 5 แสนล้านบาท และคาดปี 2567 กำไรจะเติบโตต่อเนื่องอีก 18% 


ขณะเดียวกัน แนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น AOT ที่ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท โดยประเมินแนวโน้มในปี 2567 คาดว่าจะยังเห็นการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากการเดินทางระหว่างประเทศเริ่มฟื้นตัว เห็นได้จากตัวเลขเที่ยวบินและผู้โดยสารในเดือนตุลาคม ยังคงเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน


พร้อมกันนี้ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TIDLOR ที่ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท คาดว่ากำไรจะโตต่อเนื่องในไตรมาส 4/66 พร้อมกับคุณภาพสินเชื่อที่ยืดหยุ่นดีในครึ่งหลังปี 2566 ซึ่งจะเอื้อให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญในปี 2567-2568 ลงได้ ขณะที่คาดว่ากำไรสำหรับทั้งปี 2566 จะโต 6.6% จากปีก่อน และโตอย่างมั่นคงในระดับ 21.7% และ 21.1% ในช่วงปี 2567-2568 ตามลำดับ หนุนจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (NII) และเบี้ยประกันที่สูงขึ้น บวกกับค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลง


ด้าน ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับภาพรวมการลงทุนในปี 2567 หากมองเป็นรายกลุ่ม ประเมินว่าหุ้นปลอดภัย (Defensive) เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มสื่อสาร จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่หุ้นอิงการบริโภคภายในประเทศ (Domestic play) เช่น กลุ่มค้าปลีก จะมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ


โดยกลุ่มค้าปลีก แนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น CPALL ที่จะสอดรับกับมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเป็นหุ้นที่เข้าใจง่ายและนึกถึงได้เร็วที่สุด ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้าเลือกหุ้นของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น GPSC เป็นหุ้นเด่น โดยประเมินผลประกอบการปี 2567 สามารถเติบโตได้โดดเด่นที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า 


นอกจากนี้ ยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น THCOM หลังเริ่มเห็นภาพการเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีใหม่ได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียมวงโคจรต่ำ หรือการปล่อยดาวเทียมใหม่ ซึ่งจะไปสอดรับกับ Digital Economy ของภาครัฐ ที่จะใช้ดาวเทียมมากขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัทที่น่าจะเริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป


ด้าน กิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 เน้นลงทุนในหุ้นรายตัวที่ให้ผลตอบแทนที่ดี มีหนี้ต่ำ และได้ผลดีจากการอ่อนค่าของเงินบาททั้งทางตรงและทางอ้อม สำหรับหุ้นเด่น แนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MAJOR หลังมองว่าผลประกอบการฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และได้ประโยชน์จากทั้งการเปิดเมืองและหน้าภาพยนตร์ที่กลับมาดีเป็นปกติ นอกจากนั้นยังคาดการณ์ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึงระดับ 7%


ขณะเดียวกัน แนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น PTT จากปัจจุบันมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 5.5% และมีกระแสเงินสดที่มั่นคง ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้ผันผวนตามราคาน้ำมันดิบมากนัก


อย่างไรก็ดี ยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้นของบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TU โดยมองว่าจะได้ประโยชน์จากเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า อีกทั้งยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลมากกว่า 4% และผลประกอบการยังอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์