นักลงทุนต่างจับตาหุ้นของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจและผลประกอบการในปี 2567 ว่าจะเป็น “โอกาส” ในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนได้หรือไม่
สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในปี 2566 นั้น ปัจจุบันอยู่ที่ 20 บาท ปรับตัวลดลงจากต้นปี 3.80 บาท หรือลดลง 15.97% ณ วันที่ 19 ธันวาคม ด้านข้อมูลจากสมาคมนักวิเคราะห์ระบุว่า มีนักวิเคราะห์ให้แนะนำ “ซื้อ” จำนวน 7 โบรกเกอร์ แนะนำ “ถือ” จำนวน 6 โบรกเกอร์ และแนะนำ “ขาย” จำนวน 1 โบรกเกอร์ โดยให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 27.00 บาท และต่ำสุดที่ 18.00 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้นอีก 15% เป็น 1.34 หมื่นล้านบาท และปี 2567 ขึ้นอีก 12% เป็น 1.43 หมื่นล้านบาท เนื่องจากค่าการตลาดน้ำมันดีขึ้น โดยปรับเพิ่มสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันของ OR ปี 2566-2567 ขึ้นจากสมมติฐานเดิม 5% เป็น 1.05 บาท/ลิตร เนื่องจากค่าการตลาดน้ำมันในไตรมาส 3/66 อยู่ในเกณฑ์ดีที่ 1.26 บาท/ลิตร
นอกจากนี้ ยังมองบวกกับการที่ผู้บริหารบริหารจัดการค่าการตลาดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้อยู่ที่ระดับประมาณ 1.00 บาท/ลิตรในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2566 แม้ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะลดลงในไตรมาส 2/66 และรัฐบาลจะสั่งให้ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลง 2.00 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 20 กันยายน
แต่อย่างไรก็ตาม ปรับลดสมมติฐานปริมาณยอดขายน้ำมันของ OR ปี 2566 และปี 2567 ลง 1% เหลือ 28,000 ล้านลิตร และ 29,361 ล้านลิตร ตามลำดับ หลังจากที่นักวิเคราะห์กลุ่มท่องเที่ยวของ KGI ปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 27.5 ล้านคน จากเดิม 28 ล้านคน และปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 32 ล้านคน จากเดิม 34 ล้านคน นอกจากนี้ ยังปรับลดสมมติฐานปริมาณยอดขายกาแฟปี 2566-2567 ลง 1% เหลือ 370 ล้านแก้ว และ 380 ล้านแก้วตามลำดับอีกด้วย
นอกจากนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 26.00 บาท จากเดิม 25.50 บาท เพื่อสะท้อนถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไร หลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่เร่งศึกษาและแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อคุมค่าการตลาดน้ำมันทุกประเภทไม่ให้เกิน 2.00 บาท/ลิตร ขณะเดียวกันได้เพิ่ม OR เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน เนื่องจากคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/66 จะสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเผชิญแรงกดดันน้อยลงจากการคุมเข้มค่าการตลาดน้ำมันเบนซินในประเทศไทย หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงในไตรมาสนี้
ด้านบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเชิงลบเล็กน้อย ต่อข้อมูลในที่ประชุมนักวิเคราะห์ในส่วนของการเป้าขยายสาขาทั้งธุรกิจ Mobility และธุรกิจ Lifestyle ที่เป็นเชิงรุกน้อยลงในปี 2567 ของบริษัท สะท้อนแนวโน้มการแข่งขันในตลาดที่อยู่ในระดับสูง และอาจส่งให้ตลาดกังวลต่อภาพการเติบโตระยะยาว หรือตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป และเป้าการขยายสาขาใน 2567 ของบริษัทต่ำกว่าประมาณการของเรา เบื้องต้นคาดส่งให้ประมาณการกำไรปกติ 2567-2568 อาจมีโอกาสลดลงราว -2% หรือราว 253-384 ล้านบาท แต่ไม่ได้กระทบผลประกอบการปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากงบลงทุนลดลงด้วย
ทั้งนี้ คงมุมมองกำไรปกติในไตรมาส 4/66 ราว 2.2 พันล้านบาท พลิกกำไรจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากค่าการตลาดที่ฟื้นเป็นราว 1.0 บาท/ลิตร จากไม่ต้องนำเข้าน้ำมันที่มีต้นทุนสูงเหมือนไตรมาส 4/65 ที่โรงกลั่นในประเทศปิดซ่อมใหญ่หลายแห่ง แต่คาดกำไรปกติลดลง 54% จากไตรมาส 3/66 เพราะไม่มี stock gain ก้อนใหญ่และเป็นช่วงไฮซีซั่นของค่าใช้จ่ายพนักงาน รวมถึงไม่มีกลับรายการลูกหนี้เหมือนไตรมาส 3/66 ซึ่งการฟื้นตัวของปริมาณขายน้ำมันราว 6% ไม่พอชดเชย
นอกจากนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 26.50 บาท มองมีโอกาสน้อยที่รัฐจะปรับกฎหมายคุมค่าการตลาดได้ คาดการพิจารณาคืบหน้าในช่วงปลายไตรมาส 4/66 หากรับความเสี่ยงได้ มองเป็นโอกาสซื้อรับการเติบโตในปี 2567 ที่ธุรกิจ Mobility ปริมาณขายโตทั้งสถานีบริการ จากการขยายสาขา และความต้องการใช้ฟื้น และความต้องการใช้เชิงพาณิชย์ของน้ำมันเครื่องบินทยอยฟื้นสู่ภาวะปกติ รวมถึงธุรกิจ Lifestyle ที่ปริมาณขายฟื้นตามเศรษฐกิจและอัตรากำไรเพิ่มจากการลดค่าใช้จ่าย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่