วอลุ่มบางเฉียบ! เอเซีย พลัส แนะเก็งกำไร 6 หุ้น หลังได้อยู่ SET50-SET100

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

วอลุ่มบางเฉียบ! เอเซีย พลัส แนะเก็งกำไร 6 หุ้น หลังได้อยู่ SET50-SET100

Date Time: 19 ธ.ค. 2566 10:57 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

Summary

  • บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเบาบางลงเรื่อยๆ ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับลดเกณฑ์คัดกรองหุ้นเข้าออกดัชนี SET50, SET100 รอบครึ่งปีแรกของปี 2567 แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวก (Positive Surprise) จากธีมนี้ คือ หุ้นขนาดใหญ่ไม่หลุด SET50 และหุ้นสภาพคล่องต่ำแต่พลิกกลับขึ้นมาติด SET100

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเบาบางลงเรื่อยๆ จนเดือนนี้เหลือมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยเพียง 3.7 หมื่นล้านบาท (คิดเป็น TURNOVER ต่อปี 54%) และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปีนี้ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับลดเกณฑ์คัดกรองหุ้นเข้าออกดัชนี SET50, SET100 รอบครึ่งปีแรกของปี 2567 ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการลดเกณฑ์สภาพคล่องให้น้อยกว่าปกติ เพื่อช่วยให้หุ้นใหญ่ที่เป็นฐานโครงสร้างตลาดหุ้นอยู่ในดัชนีต่อ หนุนให้ดัชนีมีเสถียรภาพ และสอดคล้องกับสภาวะตลาดหุ้น ณ ปัจจุบัน


สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวก (Positive Surprise) จากธีมนี้ คือ หุ้นขนาดใหญ่ไม่หลุด SET50 ได้แก่ DELTA, INTUCH, TLI และหุ้นสภาพคล่องต่ำแต่พลิกกลับขึ้นมาติด SET100 ได้แก่ AEONTS, M, TOA


โดยหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น INTUCH เนื่องจากราคา INTUCH ปรับตัวลดลง 10.68% จากต้นปี ปรับตัวขึ้นช้ากว่าเมื่อเทียบกับหุ้นลูก อย่างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ADVANC ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.79% จากต้นปี ถึง 22.47%


ขณะที่บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น M ราคาปัจจุบัน 39 บาท ย่อตัวลงมา 33.6% จากต้นปี จนราคาต่ำกว่าราคาเสนอขายไอพีโอที่ 49 บาท แต่ไตรมาส 4 มักจะเป็น High Season ของปี น่าจะเป็นแรงหนุนอีกแรง


ทั้งนี้ ประเมินเศรษฐกิจไทยปีหน้ามีแนวโน้มโตเด่น จากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการ บวกกับภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง เป็นแรงส่งสำคัญต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยทั้งในปีนี้และปีหน้า โดย BLOOMBERG คาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทยตลอดทั้งปี 2567 โต 3.5% จากปีก่อน โดยโตเด่นกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อาทิ สหรัฐฯ ที่คาดโต 1.2%, ยุโรป คาดโต 0.6%, ญี่ปุ่น คาดโต 0.8% 


ขณะที่การเติบโตของภาพรวมเศรษฐกิจไทยรายไตรมาสในปี 2567 ประเมินว่าจะโตราว 2.9-3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีนี้ ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่ขยายตัวราว 0.1-2.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีนี้


นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของไทย ที่ทยอยออกมานับตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน ยังเป็นปัจจัยหนุนต่อการขยายตัวของภาพรวมเศรษฐกิจบ้านเรา ขณะที่ระยะถัดไปยังมีอีกหลายมาตรการที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อาทิ พักหนี้เกษตรกร 3 ปี, แก้ปัญหาหนี้ในและนอกระบบ, โครงการ e-Refund, ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท, ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน ลดราคาสินค้ากว่า 20 รายการ เป็นต้น


แม้นโยบายในบางข้ออาจจะยังมีความเสี่ยงว่าไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้ในปีนี้ หรือเงื่อนไขอาจเปลี่ยนไป เนื่องด้วยข้อจำกัดบางประการ อาทิ โครงการดิจิทัลวอลเล็ต, ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แต่เชื่อว่าจะเป็นแรงกดต่อภาพรวมไม่มากนัก


โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวสูงขึ้นราว 0.6% โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 67 หากไม่มีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะเติบโต 3.2% แต่หากมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะเติบโต 3.8%

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ