หุ้นไทยฉ่ำไม่ไหว สองวันพุ่งเกิน 30 จุด ลุ้นจังหวะ “ซื้อลงทุน”

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นไทยฉ่ำไม่ไหว สองวันพุ่งเกิน 30 จุด ลุ้นจังหวะ “ซื้อลงทุน”

Date Time: 15 ธ.ค. 2566 15:20 น.

Video

เปิดทริกวางแผนการเงิน เพื่อชีวิตที่มีประสิทธิภาพ

Summary

  • ดัชนีหุ้นไทยช่วงสองวันที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 34.58 จุด หรือ +2.54% มาอยู่ที่ 1,392.55 จุด จากวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ดัชนีอยู่ที่ 1,357.97 จุด ซึ่งทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี นักวิเคราะห์ฯ เชื่อช่วงที่เหลือของปีฟื้นต่อเนื่อง ชี้เป็นจังหวะซื้อลงทุน

Latest


ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ช่วงสองวันที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 34.58 จุด หรือ +2.54% มาอยู่ที่ 1,392.55 จุด ในช่วงพักการซื้อขายเช้าวันนี้ จากวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ดัชนีอยู่ที่ 1,357.97 จุด ซึ่งทำจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560


กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.กรุงศรี พัฒนสิน เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า สัญญาณบวกหลักมาจากประเด็นจุดเปลี่ยนของนโยบายการเงินสหรัฐฯ ที่ชัดเจน ว่าปีหน้าจะเข้าสู่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง เช่นเดียวกับธนาคารกลางในหลายประเทศ ได้แก่ อังกฤษ ยุโรป และสวิตเซอร์แลนด์ ก็ให้ภาพเดียวกันว่าอัตราดอกเบี้ยขาลงจะเริ่มต้นในปี 2567


ทั้งนี้ ทิศทางของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่า รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดต่ำลง เป็นภาพบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ภาพของตลาดหุ้นดูมีเสน่ห์มากขึ้นในแง่ของส่วนต่างผลตอบแทนที่กว้างขึ้นเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของพันธบัตร


ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติปรับลดสถานะหุ้นไทยไปค่อนข้างมากนับตั้งแต่ต้นปี พอตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Undervalue) และเกิดจุดเปลี่ยนสำหรับมุมมองการลงทุนรอบใหม่ ทำให้ตลาดหุ้นเอเชียน่าจะมีโอกาสจากดอลลาร์อ่อนและมีการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมดีกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคฟื้นตัวต่อเนื่องได้


นอกจากนี้ ประเมินทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปี 2566 จะสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งสัปดาห์หน้า กองทุนระยะยาวของไทยน่าจะเริ่มขับเคลื่อนดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ พร้อมกับเห็นเม็ดเงินจากกองทุน Thailand ESG Fund ที่จะเริ่มทยอยเข้ามา โดยให้แนวรับช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ระดับ 1,350 จุด ส่วนแนวต้าน 1,460-1,470 จุด


อย่างไรก็ดี แนะนำนักลงทุนให้ “ซื้อลงทุน” ในกลุ่มโรงไฟฟ้าซึ่งมองว่าหุ้นของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM มีความโดดเด่น ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี แนะซื้อหุ้นของบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP


ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกแนะนำหุ้นของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL กลุ่มไฟแนนซ์เลือกหุ้นของ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD และสนามบิน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT


ส่วนหุ้นกลุ่มเติบโตสูงมองว่าจะสามารถ Outperform ได้ จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง ได้แก่ บริษัท เบริล 8 พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ BE8 และบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/investment


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ