หุ้น BAM กำไรหด กดราคาร่วง 47.77% จากต้นปี โบรกฯ ชี้จังหวะเก็บรอฟื้นปีหน้า

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BAM ปรับตัวลดลงกว่า 47.77% นับตั้งแต่ต้นปี 2566 มาอยู่ที่ 8.20 บาทต่อหุ้น ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2566 ท่ามกลางปัจจัยกดดันจากทั้งต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความต้องการอสังหาริมทรัพย์มือสองที่ลดลง ส่งผลให้ผลประกอบการปีนี้มีแนวโน้มหดตัวลง

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สำหรับหุ้น BAM นั้น แม้กำไรไม่สดใส แต่ราคาหุ้นลงมาแรงจนอัตราผลตอบแทนเริ่มน่าสนใจ โดยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2566 คิดเป็น 67.1% ของประมาณการทั้งปี และมองว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 4/66 ของ BAM จะเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน ทำจุดสูงสุดของปี ตามผลของฤดูกาล

ในไตรมาส 4/66 จะเป็นช่วงที่ลูกหนี้ของ BAM เข้ามาเร่งเจรจาเพื่อปิดบัญชีหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) และปิดการขายทรัพย์รอการขาย (NPA) จำนวนมาก แต่คาดยังลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังเริ่มได้รับผลกระทบจากการที่สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ บวกกับดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น ทำให้การขายหลักประกันของ NPL ผ่านกรมบังคับคดี และการขาย NPA ยากขึ้น

ขณะที่ปัจจัยลบจากต้นทุนทางการเงิน จะเริ่มกดดันผลประกอบการมากขึ้นเรื่อยๆ หลังออกหุ้นกู้ชุดใหม่อีก 4,800 ล้านบาท ในเดือนตุลาคม 2566 จึงคงคาดการณ์ทั้งปี 2566 BAM จะมีกำไรสุทธิ 1,602 ล้านบาท ลดลง 41.2% จากปีก่อน และพลิกเติบโต 29.4% ได้ในปี 2567

ทั้งนี้ ราคาหุ้น BAM ปรับลงจนใกล้จุดต่ำสุด (All Time Low) กดดันจากการเผชิญกับต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะที่ความต้องการอสังหาริมทรัพย์มือสองน้อยลง และหนี้เสียชุดใหม่ที่ประมูลซื้อจากสถาบันการเงินต้องใช้เวลาในการติดต่อลูกหนี้และเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ หรือบังคับคดีอีกราว 2-3 ปี

อย่างไรก็ดี ด้วยราคาหุ้นที่ Underperform มานาน ทำให้อัตราผลตอบแทนเริ่มมีความน่าสนใจที่ 4% อีกทั้งราคาปัจจุบันมีอัปไซด์ราว 25.9% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2567 ที่ 10.20 บาท จึงคงคำแนะนำ “TRADING” โดยจะกลับมาพิจารณาเพิ่มคำแนะนำ หากเห็นสัญญาณการขาย NPL และ NPA ที่ดีขึ้น ซึ่งคาดจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2567

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BAM จะเพิ่มการซื้อ NPL เนื่องจากอุปทานขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม บริษัทซื้อ NPL จำนวน 5.4 พันล้านบาท ในราคาต้นทุน คาดว่าอุปทาน NPL จะเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า เนื่องจากมาตรการช่วยเหลือส่วนใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศไทยหมดลงในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ปริมาณ NPL ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้กำไรเติบโตในอนาคตสดใสขึ้น และเป็นปัจจัยหนุนในการ ”ซื้อ” สำหรับ BAM ของเรา แม้ว่ากำไรในระยะสั้นจะอ่อนแอก็ตาม

ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้นในปีหน้า คงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากยอดขาย NPL เพิ่มขึ้นและคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นในปีหน้า ซึ่งรายได้ของ BAM ก็น่าจะฟื้นตัวเช่นกัน โดยประเมินมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 16.00 บาท

ส่วนบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2566 คิดเป็น 71% ของประมาณการทั้งปี จึงคงกำไรสุทธิปีนี้ที่ 1.5 พันล้านบาท หดตัว 45% จากปีก่อน จากกระแสเงินสดเรียกเก็บ (cash collection) ที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจ ก่อนที่จะกลับมาดีขึ้นในปี 2567 ที่ 2.0 พันล้านบาท โต 32% เมื่อเทียบกับปีนี้ จากการรับรู้รายได้กองหนี้เสียที่บริษัทเข้าซื้อเพิ่มตั้งแต่ปี 2566-2567 ที่สูงและใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด-19 มากกว่า 1.0 หมื่นล้านบาทต่อปี 

ทั้งนี้ ประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 จะยังหดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามเศรษฐกิจ แต่จะกลับมาขยายตัวจากไตรมาส 3/66 ตามปัจจัยฤดูกาล ส่วนราคาหุ้น underperform ดัชนีตลาดหุ้นไทย 14% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ที่กดดันต่อการจ่ายชำระ และการเข้าซื้อทรัพย์ NPL และ NPA ของลูกค้า รวมทั้งค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เราคงแนะนำ “ขาย” จาก cash collection ที่จะยังไม่ดีขึ้นโดดเด่น การเข้าซื้อทรัพย์ของลูกหนี้รายใหญ่ที่มีแนวโน้มล่าช้าต่อเนื่อง และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ที่ปรับตัวลงต่ำอยู่ที่เพียง 5%

อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่

https://www.thairath.co.th/money/investment