ตลาดหุ้นอินเดียแซงฮ่องกง ขึ้นอันดับ 7 ของโลก

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ตลาดหุ้นอินเดียแซงฮ่องกง ขึ้นอันดับ 7 ของโลก

Date Time: 14 ธ.ค. 2566 06:20 น.

Summary

  • สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานเมื่อวานนี้ว่า ตัวเลข ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 ตลาดหุ้นอินเดีย ได้แซงหน้า ตลาดหุ้นฮ่องกง ขึ้นเป็น ตลาดหุ้นที่ใหญ่อันดับ 7 ของโลก ด้วย มาร์เก็ตแคปสูงถึง 3.989 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 142 ล้านล้านบาท เทียบกับ ตลาดหุ้นฮ่องกง ที่มีมาร์เก็ตแคป 3.984 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 141.8 ล้านล้านบาท

Latest

เก็บหุ้นปันผล

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานเมื่อวานนี้ว่า ตัวเลข ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2566 ตลาดหุ้นอินเดีย ได้แซงหน้า ตลาดหุ้นฮ่องกง ขึ้นเป็น ตลาดหุ้นที่ใหญ่อันดับ 7 ของโลก ด้วย มาร์เก็ตแคปสูงถึง 3.989 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 142 ล้านล้านบาท เทียบกับ ตลาดหุ้นฮ่องกง ที่มีมาร์เก็ตแคป 3.984 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประมาณ 141.8 ล้านล้านบาท ข้อมูลจาก สหพันธ์ตลาดหุ้นโลก ระบุว่า วันจันทร์ที่ผ่านมาดัชนี Nifty 50 index ของอินเดีย ได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ ช่วง 11 เดือนของปีนี้ดัชนีหุ้นอินเดียเพิ่มขึ้นถึง 16% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 ในขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกงปีนี้ดัชนีฮั่งเส็ง ร่วงลงไปถึง 18% ในช่วงเดียวกัน

วันนี้เราไปสำรวจตลาดหุ้นอินเดียกันนะครับ

ข้อมูลจาก วารสารการเงินธนาคาร เดือนธันวาคม ระบุว่า หุ้นอินเดียเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของการลงทุนระยะยาว คุณวจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานลงทุน บลจ.กสิกรไทย ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจอินเดียเติบโตโดดเด่นมาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า อินเดียจะเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่เติบโตได้มากกว่า 6% ในปี 2567 ภาคการส่งออกและภาคการผลิต ก็แข็งแกร่ง อินเดียยังมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาวที่น่าสนใจ เช่น มีประชากรวัยหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลก ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการบริโภคในประเทศ และมีการลงทุนจากภาครัฐด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง คาดว่ากำไรปี 2567 จะเติบโต 18% โดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่น

ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล ซีอีโอฝ่ายบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน บล.กรุงศรี ก็มองในทิศทางเดียวกันว่า เศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง นักวิเคราะห์หลายสำนักทั่วโลกแนะนำให้ลงทุนให้หุ้นอินเดีย คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีกหลายปี

ดร.ฐนิตพงศ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นอินเดียมีมูลค่าสูงอันดับ 4 ของโลก รองจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น มีมูลค่ามากกว่าตลาดหุ้นอังกฤษและฝรั่งเศสรวมกัน นอกจากนี้ จำนวนนักลงทุนรุ่นใหม่ก็มีมากขึ้น สอดคล้องกับการ เติบโตของเศรษฐกิจ มีความรู้ความเข้าใจทางการเงินมากขึ้น บัญชีกองทุนรวมในอินเดียเพ่ิมขึ้นจาก 60 ล้านบัญชี ในปี 2559 เป็น 150 ล้านบัญชี ในปี 2566 เงินฝากก็มีการเติบโตในระดับสูง มีเงินออมในระบบอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้นำมาลงทุนในตลาดหุ้นและกองทุนรวม ผลสำรวจของ รอยเตอร์ เมื่อวันที่ 10–22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า นักวิเคราะห์เกือบ 90% คาดว่าตลาดหุ้นอินเดียจะทำสถิติสูงสุดในช่วงกลางปีหน้า และสิ้นปี 2567 จะปรับขึ้นราว 10% จากระดับในปัจจุบัน

อินเดีย กำลังถูกจับตาในฐานะ ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจชาติใหม่

S&P Global เปิดเผยในรายงานว่า ในระยะยาวอินเดียจะกลายเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลก มีจีดีพีที่ 7.3 ล้าน ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 แซงหน้า เยอรมนี และ ญี่ปุ่น เนื่องจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์สูง ปัจจุบันอินเดียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลกไปเรียบร้อยแล้ว

ไอเอ็มเอฟ ประเมินว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียระหว่างปี 2024–2028 จะอยู่ในระดับเฉลี่ย 6.3% นับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่า อัตราเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ระดับราว 3.2% ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของอินเดีย ทำให้มี “ประชากรฐานะปานกลาง” (ชนชั้นกลาง) เพิ่มมากขึ้น ทำให้การบริโภคขยายตัว ส่งผลดีต่อภาคการผลิตในประเทศ

ก็ฝากข้อมูลนี้ไปยัง นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ครับ การสร้างจีดีพี ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ต้องสร้างจากการลงทุน สร้างชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างกำลังซื้อในประเทศ การฟื้นฟูเศรษฐกิจมีหลากหลายช่องทาง อยู่ที่การตัดสินใจเลือกของผู้นำ ถ้าเลือกเส้นทางผิด เศรษฐกิจก็ซึมยาว อินเดียมีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน จีดีพียังเติบโตได้ถึง 6.3% ไทยมีประชากร 66 ล้านคน จีดีพีกลับโตแค่ 2–3% เป็นแนวทาง ที่นายกฯต้องตัดสินใจ ประเทศไทยจะเติบโตแบบไหน?

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ