ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกำลังกดดันต่อภาพของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง โดยในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีจะมีการเสนอปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 2-16 บาท เป็น 330-370 บาทต่อวัน นักวิเคราะห์มองว่าจะส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มอาหาร ขนส่ง และอสังหาริมทรัพย์ กับต้นทุนที่ขยับสูงขึ้น
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า จับตาการประชุม ครม. เคาะค่าแรงขั้นต่ำ หลังคณะกรรมการไตรภาคีเคาะปรับเพิ่ม 2-16 บาท เป็น 330-370 บาท ซึ่งต่ำกว่าระดับ 400 บาทที่ตลาดประเมิน ต้องติดตามว่าจะผ่าน ครม. วันนี้หรือไม่ หากผ่านเราจะมองเป็นบวกต่อผู้ประกอบการ ทั้งร้านอาหาร รับเหมาฯ เนื้อสัตว์ เป็นต้น จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่มาก แต่หากถูก ครม. ตีกลับ จะเป็นปัจจัย Overhang จากตัวเลขค่าแรงใหม่ที่จะขยับเข้าใกล้ 400 บาทมากขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสเอกซ์ เปิดเผยว่า ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ต้องระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัยจากแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล ซึ่งจะมีการประชุม ครม. 12 ธ.ค.นี้ ได้แก่ กลุ่มขนส่งพัสดุ KEX กลุ่มอาหาร ได้แก่ CPF, ZEN, GFPT, TU กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ LPN, PSH และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ HANA ขณะที่ระยะกลางแนะนำระมัดระวังหุ้นที่คาดได้รับผลกระทบ จากภาวะเอลนีโญ ที่จะกระทบต่อกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง ได้แก่ กลุ่มสินเชื่อ MTC, SAWAD กลุ่มยานยนต์ SAT, STANLY กลุ่มเครื่องดื่ม CBG จากราคาน้ำตาลที่สูงขึ้น รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร CPF, GFPT, BTG
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ขณะที่ในมุมของนโยบายการคลังยังเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดประเด็นที่จะเข้าการประชุม ครม. วันนี้ที่จะขอความเห็นชอบและให้ไฟเขียวในการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2567 เพิ่มขึ้นอัตราวันละ 2-16 บาท เฉลี่ย 2.37% สูงสุด 370 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเสนอ ครม. ตีกลับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 2567 ศึกษาใหม่ เล็งถามกฤษฎีกาแก้กฎหมาย เตรียมหารือบอร์ดไตรภาคีนอกรอบขยับเพิ่ม กระทรวงพลังงานเตรียมเสนอ ครม. ให้อนุมัติตรึงค่าไฟฟ้าที่อัตรา 3.99 บาท/หน่วย สำหรับกลุ่มเปราะบาง และตรึงราคาก๊าซหุงต้ม 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ต่อไปอีก 3 เดือน
กระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอมาตรการพักหนี้เพิ่มเติมในกลุ่ม SME รหัส 21 กว่า 6 หมื่นคน พร้อมปลดล็อก NPL สินเชื่อฉุกเฉินโควิด ซึ่งกลุ่มหุ้นหลักที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว คือ กลุ่ม COMM FOOD ที่ระยะถัดไปยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้ง EASY ERECEIPT และ DIGITAL WALLET
คาดช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้โตเกิน 5% จากปีก่อน และทำให้ประชาชนมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 โดยหุ้นในกลุ่มดังกล่าวที่ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CPAXT, HMPRO, COM7, CRC, CPALL, OSP, CBG, SNNP, TU เป็นต้น
สรุปนโยบายการเงินที่มีท่าทีผ่อนคลายลง และนโยบายการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจ เรื่อยๆ คาดหนุนให้ประเทศไทยดูดีในสายตาต่างชาติ และมีโอกาสให้เงินต่างชาติ ไหลเข้าหุ้นไทยระยะถัดไป ส่วนหุ้นที่คาด OUTPERFORM จากประเด็นฯ ดังกล่าว และฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ คือ CRC, CPALL, TU, TISCO, ADVANC, SCC