นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสถิติที่ผ่านมาพบจากการเปิดเผยข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่รายงานความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 32 ปีที่ผ่านมา พบว่า นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิไปแล้ว 1.86 แสนล้านบาท โดยนับเป็นการขายหนักสุดเป็นอันดับที่ 4 นับจากการการเก็บสถิติ
ทั้งนี้แรงกดดันที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยมาจากความเชื่อมั่นที่ลดลงจาก กรณีหุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE, บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงกลางปี และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยมาเร็วจาก 1.25% เป็น 2.5% ล้วนกดดันให้ เงินทุนต่างชาติ ไหลออก แต่ระยะถัดไป เชื่อปัจจัยต่างๆ ค่อยๆ ดีขึ้น
2. ตลาดคาดดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวลงในปีถัดไปจาก 5.5% เหลือ 4.5% ประเด็นดังกล่าวกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และค่าเงินบาทมีโอกาสพลิก กลับมาแข็งค่า หนุนเงินทุนต่างชาติ บางส่วนไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เพราะต่างชาติ จะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นด้วย
3. ดอกเบี้ยไทยมีโอกาสลดลงในระยะถัดไป เพราะเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำ, GDP ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่ ภาวะดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินดอกเบี้ยที่ลดลงทุกๆ 0.25% หนุนสภาพคล่องตลาดหุ้นไทยทีเบาบางสามารถเพิ่มขึ้นได้ราว 4.8 พันล้านบาท/วัน
ทั้ง 3 ปัจจัยสนับสนุนว่า เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลเข้า และสภาพคล่องมีโอกาส เพิ่มขึ้นในระยะถัดไป ดังนั้น SET INDEX ณ ปัจจุบันที่ 1395 จุด มี PEในปี 2567 ถูกเพียง 13.9 เท่า น่าจะเป็นจังหวะในการหาหุ้นสะสมเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาว
อย่างไรก็ตาม เวลานี้เริ่มเห็นสัญญาณ เงินทุนต่างชาติดีขึ้น หวังจะไหลเข้าต่อในระยะถัดไป หลังมีการรายงานตัวเลขส่งออกไทยเดือน ต.ค. +8 จากปีก่อน ค่าเงินบาทก็พลิกมาแข็งค่า เกิน 1% และเป็นการแข็งค่าที่มากสุดในเอเชีย พร้อมกับเงินทุนต่างชาติที่กลับมาซื้อ สุทธิเล็กน้อย 613 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา)