MAJOR ทะลุเส้น 200 วัน คาดกำไร Q4 สุดปัง รับหนังดัง “สัปเหร่อ-ธี่หยด”

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

MAJOR ทะลุเส้น 200 วัน คาดกำไร Q4 สุดปัง รับหนังดัง “สัปเหร่อ-ธี่หยด”

Date Time: 19 พ.ย. 2566 10:05 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • ราคาหุ้น MAJOR ปรับตัวยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (EMA200) ขณะที่ภาพยนตร์ไทยในช่วงที่ผ่านมาอย่าง “สัปเหร่อ” และ “ธี่หยด” ทำรายได้รวมแล้วทะลุพันล้านบาท ประกอบกับยังมีภาพยนตร์ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องทะยอยเข้าฉายในไตรมาสที่ 4/66 นี้ นักวิเคราะห์ฯ คาดทิศทางธุรกิจสดใส

Latest


เป็นที่น่าจับตาสำหรับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MAJOR หลังราคาหุ้นปรับตัวยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (EMA200) ขณะที่ภาพยนตร์ไทยในช่วงที่ผ่านมาอย่าง “สัปเหร่อ” และ “ธี่หยด” ทำรายได้รวมแล้วทะลุพันล้านบาท ประกอบกับยังมีภาพยนตร์ที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องทะยอยเข้าฉายในไตรมาสที่ 4/66 นี้


นอกจากนี้ ล่าสุดบริษัทบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) ประกาศจับมือกับบริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น WORK ตั้งบริษัทร่วมทุน ลุยธุรกิจผลิตภาพยนตร์ด้วยทุนจดทะเบียน 110 ล้านบาท


ไตรมาส 4/66 สุดปัง รับหนังดัง “สัปเหร่อ-ธี่หยด”


ด้าน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทิศทางธุรกิจไตรมาส 4/66 สดใสอย่างมากจากภาพยนตร์ไทยเรื่อง “สัปเหร่อ” ที่ขึ้นแท่นหนังไทยทํารายได้สูงสุดในรอบ 10 ปี ตามมาด้วยภาพยนตร์ไทยกระแสแรงอย่างเรื่อง “ธี่หยด” ที่ทํารายได้เกินหลักร้อยล้านบาทเร็วที่สุดของปี ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีมีภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศที่น่าสนใจจ่อคิวเตรียมเข้าฉายจํานวนมาก เชื่อว่ามีโอกาสสูงที่งวดไตรมาส 4/66 MAJOR จะสร้างรายได้จากการขายตั๋วภาพยนตร์ทะลุ 1.4 พันล้านบาท แซงหน้าไตรมาส 2/66 ที่โดยปกติจะเป็นไตรมาสที่ทํารายได้สูงสุดของปี ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงรายได้จากส่วนธุรกิจอื่นๆ ให้ดีตามไปด้วย


สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/66 ที่น่าจะออกมาสดใสอย่างมาก ต่อเนื่องถึงปี 2567 ที่กระแสภาพยนตร์ไทยถูกจุดติดขึ้นมาอีกครั้ง ทําให้ฝ่ายวิจัยพิจารณาปรับเพิ่มประมาณการกําไรปี 2566-2567 อีก 41% และ 10% ตามลําดับ โดยคาดปี 2566 MAJOR จะมีกําไรสุทธิ 1,001 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 297% จากปีก่อน แต่ถ้าหักกําไรพิเศษจากการขายหุ้น MPIC จะมีกําไรจากการดําเนินงาน 706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 468% จากปีก่อน ขณะที่ปี 2567 คาดการณ์กําไรจากการดําเนินงาน 827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีนี้


ขณะเดียวกัน บริษัทมีโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นเกราะป้องกันราคาหุ้นขาลง ประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 วิธี DCF ได้ที่ 20.00 บาท เพิ่มน้ําหนักการลงทุนจาก Neutral เป็น Outperform


ส่วน บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดผลประกอบการไตรมาส 4/66 จะดีจนตะลึง จากกําไรจากธุรกิจหลักในงวด 9 เดือนแรกของปี 2566 อยู่ที่ 274 ล้านบาท คิดเป็น 61% ของประมาณการกําไรเต็มปีของเรา เรามองว่ากําไรมีแนวโน้มสดใสในไตรมาส 4/66 เนื่องจากมีภาพยนตร์ไทยสองเรื่องที่ทํายอดได้ดีมากๆ ในไตรมาส 4/66 คือเรื่อง สัปเหร่อและธี่หยด ดังนั้น เรา จึงยังคงประมาณการกําไรปี 2566 เอาไว้ที่ 451 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 227% เมื่อเทียบกับปีก่อน


นอกจากนี้ ปรับคําแนะนําจากซื้อเป็นถือ เพราะราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยบวกไปเรียบร้อยแล้ว คงราคาเป้าหมายเอาไว้เท่าเดิมที่ 17.50 บาท เนื่องจากราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาแรงในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจากกระแสตอบรับที่แรงมาก ของภาพยนตร์ไทยสองเรื่องดังกล่าวข้างต้น ทําให้เหลือ upside ถึงราคาเป้าหมาย ของเราอีกไม่มากแล้ว เราคาดว่าไตรมาส 1/67 จะกลับเข้าสู่ช่วง low season อีกครั้ง และคาดว่าราคาหุ้นจะตกลงเพื่อสะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่มีแนวโน้มแผ่วลง


จับมือ WORK ลุยผลิตภาพยนตร์เอง


ล่าสุด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MAJOR และบริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด บริษัทย่อยของ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น WORK ประกาศจับมือตั้งบริษัทร่วมทุน “บริษัท คาร์แมน ไลน์ สตูดิโอ จำกัด” ลุยธุรกิจผลิตภาพยนตร์และร่วมลงทุนในบริษัทเพื่อผลิตภาพยนตร์ ทุนจดทะเบียน 110,000,000 ล้านบาท ถือหุ้นบริษัทละ 50%


บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น MAJOR แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 6/2566 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ได้มีมติอนุมัติการลงทุนในบริษัท คาร์แมน ไลน์ สตูดิโอ จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตภาพยนตร์และร่วมลงทุนในบริษัทเพื่อผลิตภาพยนตร์ มีทุนจดทะเบียน 110,000,000 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญ 1,100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 50% หรือคิดเป็นเงินลงทุน 55,000,000 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท


ทั้งนี้ ทั้งสองบริษัทจะดำเนินการชําระเงินครั้งที่ 1 กําหนดชําระภายใน ธันวาคม 2566 โดยในการชําระเงินลงทุนในครั้งแรกจะชําระเงินลงทุนจํานวน 25 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.73 ของเงินลงทุน และการชำระเงินครั้งที่ 2 กําหนดชำระภายใน ปี 2567 จะชําระเงินลงทุนจํานวน 30 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27.27 ของเงินลงทุน


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์