ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังให้สัมภาษณ์ที่นครซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ถึงกรณีมีข่าวว่านักลงทุนรายย่อยนัดหยุดเทรดในวันที่ 20 พ.ย.นี้ จากวิกฤติความเชื่อมั่นว่า ยังไม่ทราบว่ามีปัญหาเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องมีการสอบถาม ทั้งนี้ในระยะยาวรัฐบาลไม่ได้ออกมาตรการที่เป็นลบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่พยายามทำหลายๆ อย่างให้ดีขึ้น แต่จะดีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรู้สึกของนักลงทุน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้ให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ออกนโยบายออกมา จึงไม่ทราบว่าอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้หรือไม่
เมื่อถามว่า ส่วนกรณีการขายชอร์ตเซลล์ (Short Sell) ที่เชื่อว่าจะมีการเมืองมาแทรกแซงในตลาดหุ้นนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ก.ล.ต.ตรวจสอบแล้วไม่มี และอยากถามกลับว่า เขาจะให้ทำอะไร คุยกับใคร ซึ่งการที่ให้นายกิตติรัตน์ ไปหารือกับ ก.ล.ต. มีแต่สถานการณ์ดีขึ้น แต่ดีมากหรือดีน้อยไม่ทราบ อยากจะให้ตนทำอะไร ขอให้บอก ไม่ใช่ไม่อยากทำ เพราะการพูดคุยกับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งมีเป็นแสนคนจะให้ไปคุยกับใครบ้าง ภาษีจากธุรกรรมการขายก็ไม่ได้เก็บ ภาษีจากกำไรการขายหุ้นก็ไม่ได้เก็บ นโยบายการลงทุน กองทุนแอลทีเอฟก็ออกมาให้ตามที่ต้องการ หากจะต้องการอะไรบอกมา ไม่ได้ประชด หรือว่าอารมณ์เสีย แต่อยากรู้ความต้องการ เพื่อจะได้จัดให้ และมีอะไรใหม่ที่อยากได้
“ผมไม่ได้อะไรเลยเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ ผมไม่ได้ยุ่งอะไรเลย ไม่ได้รบกวน ไม่ได้ไปทำให้ใครมีปัญหา ซึ่งวันนั้นผมก็อารมณ์เสียใส่ดีเอสไอไปเรื่องหุ้นมอร์ และหุ้นสตาร์ค ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ความไว้วางใจในตลาดมีน้อย เรื่องเกิดมานานเท่าไหร่ ยังไม่จบเสียที ติดอยู่ที่ดีเอสไอ ไม่ใช่เรื่องหมูอย่างเดียว”
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวหลังการประชุมหารือแผนเร่งรัดการส่งออกและการค้าชายแดน Quick Win 100 วัน และ 1 ปี ร่วมกับผู้บริหารกระทรวง พาณิชย์ ทูตพาณิชย์ และภาคเอกชน ว่า ที่ประชุมได้ประเมินเป้าหมายการส่งออกของไทยปี 67 ในเบื้องต้น โดยในฝั่งของตลาด ซึ่งเป็นการประเมินจากทูตพาณิชย์ในประเทศต่างๆ 58 แห่ง คาดมูลค่าจะขยายตัวที่ 1.99% จากปี 66 คิดเป็นมูลค่า 287,754 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 10 ล้านล้านบาท ขณะที่ภาคเอกชนประเมินในฝั่งการผลิต คาดจะขยายตัว 1-2% ซึ่งสอดคล้องกัน แต่ตัวเลขที่ชัดเจน จะต้องรอผลการส่งออกปี 66 ก่อน ถึงจะประกาศเป้าหมายการส่งออกของปี67 อย่างเป็นทางการได้
ส่วนการส่งออกของปี 66 ประเมินว่า ในช่วง 3 เดือนที่เหลือของปีนี้จะยังขยายตัวเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่การส่งออกในช่วง 2 เดือนล่าสุดคือ เดือน ส.ค. เพิ่ม 2.6% เดือน ก.ย.เพิ่ม 2.1% ทำให้การส่งออกทั้งปีจะติดลบน้อยกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยจะติดลบไม่เกิน 1%
สำหรับการผลักดันการส่งออกที่ได้ดำเนินการภายใต้นโยบายปรับส่งออกจากลบเป็นบวก ในช่วง 100 วัน ได้ดำเนินการรวม 73 กิจกรรม คาดการณ์สร้างมูลค่าการส่งออก 12,400 ล้านบาท แต่เกิดผลจริง 25,424.75 ล้านบาท และยังได้ทำแผนล่วงหน้าสำหรับระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า เพื่อผลักดันการส่งออกในปี 67 โดยกำหนดไว้ทั้งสิ้น 380 กิจกรรม ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการส่งออก 65,701 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดกลยุทธ์การผลักดัน การส่งออก 5 ด้าน ได้แก่ 1.จะเปิดประตูโอกาสทางการค้าเชิงรุกสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น สหรัฐฯ จีน ตะวันออกกลาง ฯลฯ ควบคู่กับการรักษาตลาดเดิม 2.กำหนดให้ทูตพาณิชย์ทำงานเชิงรุก และบูรณาการทำงานกับพาณิชย์จังหวัดให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เพื่อเชื่อมโยงสินค้าจากท้องถิ่นสู่ตลาดโลก 3.การส่งเสริมการส่งออกซอฟต์พาวเวอร์ 4.การปรับปรุงการทำงานของภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล 5.การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ ด้วยการส่งเสริมการค้าออนไลน์.
อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่