มุมมอง “เซียนฮง”

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

มุมมอง “เซียนฮง”

Date Time: 16 พ.ย. 2566 05:04 น.

Summary

  • ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 15 พ.ย.66 ปิดที่ 1,415.17 จุด เพิ่มขึ้น 29.13 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 63,738.22 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,558.85 ล้านบาท

Latest

เก็บหุ้นปันผล

มีมุมมองความเห็นจาก “สถาพร งามเรืองพงศ์” หรือ“เซียนฮง” นักลงทุนวีไอรายใหญ่ มองตลาดหุ้นไทยที่ผันผวน ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะเข้าซื้อหุ้น เพราะเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวในระดับต่ำ ท่ามกลางดอกเบี้ยที่ยังสูงและ bond yield gap ยังอยู่ในระดับสูง ตลาดหุ้นจึงยังไม่น่าลงทุน โอกาสที่จะได้เห็นตลาดหุ้นไทยเป็นขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้น้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย จึงยังมีโอกาสที่จะได้เก็บหุ้นดีราคาถูกกว่านี้ โดยมองว่าตลาดหุ้นที่ปรับลงแรงปีนี้ จากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก

สำหรับพอร์ตของตนเอง ลงทุนในหุ้นไม่เกิน 50% และถือเงินสด 50% ยอมรับว่าหุ้นในพอร์ตปีนี้ ขาดทุนราว 40-50% ถือเป็นการขาดทุนหนักสุดในรอบ 10 ปี จากที่อยู่ในตลาดหุ้นมาเป็นเวลา 19 ปีเต็ม ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือไม่จบ ในพอร์ตลงทุนที่มีหุ้นกว่า 10 ตัว มูลค่าพอร์ตลดลงเหลือราว 5-6 พันล้านบาท

“ตอนนี้เสน่ห์ของหุ้นไทยน้อยกว่าสมัยก่อนมาก ขณะที่ข้อมูลข่าวสารไวมาก รอบธุรกิจบางอย่างสั้นกว่าเดิม ทำให้มองว่าการถือลงทุนระยะยาวอาจไม่ดีเหมือนเดิม ตอนนี้ผมรอจังหวะที่เหมาะสม เช่น หากตลาดปรับตัวลงแรงอีกรอบ จนดัชนีเหลือ 1,100 จุด ก็จะนำเงินสดที่สำรองไว้เข้าลงทุนเพิ่ม เพราะมองตลาดรอบนี้ปรับลงมาจากจุดสูงสุดที่ 1,600 จุด ถ้าลงมาแถว 1,100 หรือลงราว 40% ตามนิยามวิกฤติตลาดหุ้น ก็จะเป็นโอกาสของการเข้าซื้อแต่รอบนี้อาจจะลงไม่ถึง 1,100 จุดก็ได้ แต่ถ้าลงมาระดับนี้ หุ้นมาร์เกตแคปใหญ่พื้นฐานดีน่าลงทุน เพราะราคาเริ่มถูกแล้ว แต่มองว่ายังถูกได้อีก โดยหุ้นใหญ่จะเป็นหุ้นที่มีมูลค่ามากกว่าหุ้นขนาดเล็กมีโอกาสดีดขึ้นได้เร็วกว่า”

“เซียนฮง” ยังแนะนำว่า คนที่มีหุ้นขาดทุนในพอร์ตขณะนี้หลักการของตนคือ ให้วิเคราะห์ว่ายังเป็นหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรเติบโตใน 2-3 ปีข้างหน้าหรือไม่ หากได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นหรือจากภาวะเศรษฐกิจจะลดน้ำหนักโดยขายออกมา เพื่อไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่มีโอกาสเติบโตมากกว่าและไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น

“เซียนฮง” ย้ำว่า ตลาดหุ้นในยุคดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ต้องมาให้ความสำคัญเรื่องกระแสเงินสด งบดุล และหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินมากขึ้น และให้น้ำหนักกับการเติบโตของธุรกิจน้อยลง ดังนั้น การลงทุนหลังจากนี้ควรมองบริษัทที่มีกระแสเงินสดดีมากกว่า เช่น กระแสเงินสดที่บริษัทจะดำเนินกิจการได้ในแต่ละปี.

อินเด็กซ์ 51

คลิกอ่านคอลัมน์ “เงาหุ้น” เพิ่มเติม


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ