ด่านแรกก็ยังไม่รู้หมู่รู้จ่า “ดิจิทัลวอลเล็ต” ว่าจะผ่าน หรือไม่ผ่าน เมื่อต้องเสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลพิจารณาตรวจสอบ
แม้ผ่านมาส่วนใหญ่จะออกมารูปแบบว่าให้ความเห็นว่า ถ้าทำแล้วผลจะเป็นอย่างไรจะเกิดปัญหาอะไรตามมาบ้าง
แต่ไม่ชี้ก็เหมือนชี้นั่นแหละ
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของรัฐบาล
ทว่านโยบายนี้แม้ยังไม่ได้ดำเนินการ แต่ก็เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยขึ้นมาแล้วแม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
นั่นคือ “ตลาดหุ้น” ของไทย!
นับแต่รัฐบาลชุดนี้เข้าบริหารประเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศที่ยืนอยู่ในระดับ 1,500 จุด มาตลอดกลับร่วงกราวรูดต่อเนื่องจนมาถึงที่ 1,300 กว่าจุด
วันเดียวรูดถึง 30 กว่าจุดก็มี โดยรวมแล้วเป็นตลาดที่หุ้นตกมากที่สุดในโลก รัฐบาลแรกๆก็ไม่ได้ใส่ใจนักคงมองว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่เพิ่งมาตื่นเพราะมันดูไม่ชอบมาพากลแล้ว
การที่ตลาดหุ้นไทยร่วงอย่างหนักคงมาจากเหตุและปัจจัยภายนอกเป็นหลัก เพราะสภาพการผูกติดกับจีนที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจตกต่ำ
ตลาดหุ้นจีนก็ร่วงเช่นเดียวกัน ผลกระทบนี้ส่งต่อไปยังประเทศต่างๆในอาเซียน แต่ที่หนักสุดคือไทย
หุ้นร่วงระนาว
การท่องเที่ยวก็ฟุบไปด้วยเพราะนักท่องเที่ยวจากจีนไม่มา
อีกทั้งปัจจัยจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯนั้นสูงถึง 5% กว่า ขณะที่ของไทยระดับ 2 กว่าๆ ซึ่งแตกต่างกันมาก
นักลงทุนจึงเทขายแล้วหันไปลงทุนในตลาดที่ดอกเบี้ยสูงกว่า
ด้วยเหตุและผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยโงหัวไม่ขึ้นและต้องหาทางแก้ไข เพราะมันทำให้เงินหายไปจำนวนมาก
อีกเรื่องหนึ่งก็คือความเห็นของนายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีคลังไปสอดคล้องกับผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
ว่ากันว่านายกรัฐมนตรีกลับจากอเมริกาอาจถึงขั้นมีการปลดก็มีความเป็นไปได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนจะตัดสินใจอย่างไรนายกรัฐมนตรีก็ดูข้อเท็จจริงด้วย เพราะการดำเนินนโยบายประชานิยม “ดิจิทัลวอลเล็ต” ของรัฐบาลก็มีส่วนด้วย
คือความไม่แน่นอนและไม่ชัดเจน
อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่?
ด้วยเหตุนี้จึงมีส่วนโยงไปถึงตลาดหุ้นที่นักลงทุนไม่มั่นใจนโยบายของรัฐบาล จึงหนีไปลงทุนที่อื่น ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า
และหากดำเนินนโยบายนี้ก็ไม่รู้ว่าคำว่า “กระตุ้น” นั้นจะได้ผลในทางปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน เพราะวงรอบการหมุนของเงินจะได้กี่รอบก็ยังคาดการณ์ไม่ได้
ยิ่งสภาพเศรษฐกิจโลกที่เริ่มถดถอยอย่างเห็นได้ชัดจากภาวะสงครามระหว่างอิสราเอล-ฮามาสทำท่าจะขยายวงกว้างออกไป
ย่อมทำให้เศรษฐกิจโลกมีปัญหาแน่
อย่ามองแต่ข้างหน้าต้องมองข้างหลังบ้าง!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม