นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท JKN งวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมเท่ากับ 2,359.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 742.07 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.88 ทั้งนี้รายได้ของบริษัทและบริษัทย่อยในแต่ละธุรกิจสําหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับรายได้ประเภท เดียวกันจากปีก่อนดังนี้โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจของบริษัทยกเว้นธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์ และรายได้อื่น
1 รายได้ค่าสิทธิ์จากธุรกิจให้บริการและจําหน่ายลิขสิทธิ์รายการ เพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 38.42
2 รายได้จากการให้บริการจากธุรกิจ บริการโฆษณา เพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 2.57
3 รายได้จากการขายจากธุรกิจจําหน่ายผลิตภัณฑ์ลดลงท่ากับร้อยละ 24.12
4 รายได้จากการบริหารจัดการลิขสิทธิ์ขององค์กรนางงามจักรวาลเพิ่มขึ้นเท่ากับร้อยละ 100.00 (5) รายได้อื่น ลดลงเท่ากับร้อยละ 45.60
ทั้งนี้ บริษัท มีผลการดำเนินงาน งวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทและบริษัทย่อยมีกําไรสุทธิเท่ากับ 115.47 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเท่ากับ 36.20 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 23.87 ซึ่งเป็นจากค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าด้านรายได้มีการเติบโตขึ้นเกือบทุกด้าน ส่วนต้นทุนบริการของธุรกิจการขายและให้บริการจัดการสิทธิ์ของมิสยูนิเวิร์สมีผลขาดทุนเนื่องจากเป็นการจัดงานครั้งแรก และต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากเหตุผลที่ กล่าวจึงส่งผลให้อัตราอัตรากําไรสุทธิสําหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ปรับตัวลดลงเป็นร้อยละ 4.89 จาก ร้อยละ 9.38 ในปี 2565 และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเมื่อเทียบกับรายได้รวมสําหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 22.59 จากร้อยละ 19.43 ในปี 2565
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในส่วนการขายและให้บริการจัดการสิทธิ์ของมิสยูนิเวิร์ส บริษัทได้มีการทําสัญญากับคู่สัญญาในธุรกิจหลากหลายด้านที่เกี่ยวเนื่องกับ MUO ณ 30 กันยายน 2566 โดยบริษัทได้มีการทยอยรับเงินตามงวดในสัญญาไว้แล้ว ทั้งนี้ บริษัทได้บันทึกการรับเงินตามงวดรายการของสัญญาเหล่านั้นภายใต้หัวข้อ “รายได้รอตัดบัญชี” (ตามรายงานผู้สอบบัญชี) จํานวน 251 ล้านบาท โดยจํานวนดังกล่าวจะมีการรับรู้เป็นรายได้ภายในไตรมาส 4 ปี 2566
สําหรับกําไรสุทธิต่อหุ้น ได้มีการแสดงกําไรสุทธิต่อหุ้นปรับลดไว้ในกรณีที่เป็นข้อมูลเปรียบเทียบหากผู้ถือหุ้นกู้แปลง สภาพจะใช้สิทธิ์ในการแปลงสภาพ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างราคาใช้สิทธิ์แปลงสภาพของหุ้นกู้แปลง
สภาพกับมูลค่ายุติธรรมของหุ้นสามัญของบริษัทจะพบว่ามูลค่ายุติธรรมต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ์ (อ้างอิงจากราคาราคาปิดของหุ้น บริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 อยู่ที่ 1.13 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ราคาใช้สิทธิ์อยู่ที่ประมาณ 6.2316 บาทต่อหุ้น) ซึ่งความ ต่างของราคามีผลต่อโอกาสที่จะเกิดการแปลงสภาพหุ้นกู้ดังกล่าว
อย่างไรก็ตามในการรายงานงบการเงินดังกล่าว ผู้สอบบัญชีให้ความเห็น ไม่แสดงความเชื่อมั่นในงบการเงิน เนื่องจากการขาดสภาพคล่อง การผิดนัดชำระหนี้ และการประเมินการด้อยค่า
โดย เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้นําส่งงบการเงินสําหรับไตรมาสที่ 3 ปี 2566 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ของบริษัท ซึ่งผู้สอบบัญชีได้สอบทานและรับรองงบการเงิน โดยไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทาง การเงินระหว่างกาลที่สอบทาน ดังต่อไปนี้
1. การขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 1.2 เนื่องจากกลุ่มบริษัทบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินไม่เป็นไปตามแผน ส่งผลให้บริษัทผิดนัดชําระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A การผ่อนผันการชําระหนี้รวมถึงการเลื่อนหรือเปลี่ยนแปลงระยะเวลาชําระหนี้หุ้นกู้ดังกล่าวตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 27 กันยายน 2566 ถือเป็น เหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ จํานวน 6 รุ่น Cross Default ตามข้อกําหนดสิทธิ
นอกจากนี้ยังถือเป็นเหตุให้เกิดการผิดสัญญาหุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินด้วยเช่นกัน ทําให้บริษัทต้องพิจารณาจัดประเภทหนี้สิน ประเภทหุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินเป็นหนี้สินหมุนเวียนทั้งหมด ณ วันที่ 30 กันยายน 2566
กลุ่มบริษัทจึงมีหนี้สินหมุนเวียนสูงกว่าสินทรัพย์หมุนเวียนรวมสําหรับงบการเงินรวมจํานวนเงิน 4,285.52 ล้านบาท และงบการเงินเฉพาะกิจการจํานวนเงิน 3,256.15 ล้านบาท สถานการณ์ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาขอขยายการชําระหนี้สิน และไม่เรียกร้องให้ชําระหนี้โดยพลัน (Call Default) และอยู่ระหว่างการหาแหล่งเงินทุนใหม่การปรับโครงสร้างกิจการและการปรับโครงสร้างทางการเงินใหม่ ต่อมาในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 ที่ประชุมกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2566 มีมติให้ บริษัทยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง โดยในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 บริษัทได้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการ และในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 ศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งรับคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท และกําหนดวันไต่สวน คําร้องขอฟื้นฟูกิจการในวันที่ 29 มกราคม 2567 ด้วยเหตุดังกล่าวทั้งหมดจะส่งผลต่อการเรียกชําระคืนของหนี้สินและอาจ ถูกฟ้องร้องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพและหนี้สินเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินโดยพลัน หมุนเวียนจึงขึ้นอยู่กับความสําเร็จของการปรับแผน ชําระหนี้สินและการดําเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทและการจ่ายชําระหนี้สินจากสถานการณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการจ่าย
2.การผิดนัดชําระหนี้
ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 1.2 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2566 บริษัทผิดนัดชําระหุ้นกู้ครั้งที่ 2/2563 ครบกําหนดไถ่ถอนปี 2566 (JKN239A) จํานวนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 609.98 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การผิดนัดชําระหนี้รุ่น JKN239A ส่งผลให้เข้าหลักเกณฑ์ เรื่องการผิดนัดชําระตามข้อกําหนดสิทธิหุ้นกู้ที่กําหนดไว้ในเงื่อนไขอันถือเป็นเหตุผิดนัดของหุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ที่บริษัทออกและยังมิได้ไถ่ถอนทั้งหมดและในวันที่ 4 กันยายน 2566 ตัวแทน ผู้ถือหุ้นกู้แจ้งการผิดนัดตามข้อกําหนดสิทธิ Cross Default และวันที่ 27 กันยายน 2566 บริษัทได้รับมติจากที่ประชุมผู้ถือ หุ้นกู้รุ่นดังกล่าวว่าอนุมัติให้เลื่อนการชําระคืนเงินต้นจํานวนเงิน 19.5 ล้านบาทไปเป็นวันที่ 15 ธันวาคม 2566 ส่วนที่เหลือ จํานวนเงิน 432.45 ล้านบาทให้ชําระคืนในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 และปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มจากเดิมร้อยละ 6.60 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 7 ต่อปี และผู้ถือหุ้นกู้มีมติอนุมัติขอผ่อนผันให้การผิดนัดชําระเงินต้นและดอกเบี้ยในวันครบกําหนด
ไถ่ถอนวันที่ 1 กันยายน 2566 ไม่ถือเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกําหนดและไม่เรียกชําระหนี้ตามหุ้นกู้โดยพลัน ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2566 บริษัทได้รับหนังสือจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้เพื่อเรียกให้บริษัทชําระเงินต้นหุ้นกู้และดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัททั้งหมด
ตามที่ได้เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ 20 ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2566 บริษัทไม่สามารถจ่ายชําระหนี้สินเงินกู้จากสถาบันการเงินตามเงื่อนไขในสัญญาจํานวน 3 แห่งจํานวนเงิน 54.64 ล้านบาท และในเดือนกันยายนและตุลาคม 2566 บริษัทได้รับหนังสือเรียกให้ชําระหนี้เงินกู้บางส่วนที่ครบกําหนดชําระแล้ว ตามสัญญาจากสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายนบริษัทได้ทําหนังสือขอขยายระยะเวลาการชําระหนี้กับสถาบันการเงิน 3 แห่ง และขอให้สถาบันการเงินไม่เรียกร้องให้บริษัทชําระหนี้ทั้งหมดทันที แต่ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้หนังสือ ยืนยันจากสถาบันการเงิน ณ บริษัทยังไม่ได้ตั้งประมาณการความเสียหายและดอกเบี้ยผิดนัดชําระที่อาจวันที่ 30 กันยายน 2566 บริษัทยังไม่เกิดขึ้นในงบการเงิน
3. การประเมินการด้อยค่า
กลุ่มบริษัทมีมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยจํานวนเงิน 2,460.31 ล้านบาท เครื่องหมายการค้าจํานวนเงิน 1,333.31 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนประเภทลิขสิทธิ์รายการจํานวนเงิน 6,277.65 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อบ่งชี้ว่าสินทรัพย์ดังกล่าวอาจด้อยค่าและมีค่าความนิยมจํานวน 717.96 ล้านบาท ที่บริษัทต้องทดสอบและประเมินด้อยค่าทุกปี สินทรัพย์ทั้งหมดอยู่ระหว่างดําเนินการประเมินโดยผู้ประเมินอิสระ
สถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น มีผลกระทบและมีความเกี่ยวข้องกัน ซึ่งแสดงถึงความไม่แน่นอนที่มีสาระสําคัญต่อความสามารถในการดําเนินงานต่อเนื่องของกลุ่มบริษัท และอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินที่มีสาระสําคัญในงบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะกิจการบริษัทใคร่ขอชี้แจงว่าการที่ผู้สอบบัญชีไม่ให้ข้อสรุปต่อข้อมูลทางการเงินระหว่างกาลของบริษัท สําหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 ไม่ได้มีสาเหตุจากการถูกจํากัดขอบเขตโดยผู้บริหารแต่เกิดจากผลกระทบจากความไม่แน่นอนที่มีสาระสําคัญตามสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น
ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สั่งขึ้นเครื่องหมาย SP ทันที