ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 10 พ.ย.66 ปิดที่ 1,389.57 จุด ลบ 15.40 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 50,967.94 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 2,384.79 ล้านบาท
หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด JMT ปิด 27.00 บาท ลบ 5.75 บาท, CPALL ปิด 55.75 บาท บวก 0.75 บาท, DELTA ปิด 77.75 บาท ลบ 5.75 บาท, AOT ปิด 67.50 บาท ลบ 1.50 บาท, KBANK ปิด 131.50 บาท
หุ้นไทยปิดปรับตัวลงทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาค จากการดีดกลับของ US Bond Yield กลับมากังวลอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นยังไม่จบ แรงขายหุ้นใหญ่กดดัชนี ขณะที่มีแรงซื้อกลับในกลุ่มค้าปลีกช่วยพยุงตลาด หลังรัฐบาลแถลงนโยบายเงินดิจิทัล
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า นายกรัฐมนตรีแถลงรายละเอียดแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เป็น Positive Surprise วงเงินที่สูงกว่าคาดและมีโครงการใหม่โดยให้สิทธิผู้มีรายได้ไม่ถึง 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินฝากไม่ถึง 500,000 บาท รวมทั้งสิ้น 50 ล้านราย วงเงินประมาณ 500,000 ล้านบาท และใช้จ่ายในระดับอำเภอเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค คาดเริ่มโครงการ พ.ย.67
นอกจากนี้มีมาตรการเพิ่มเติม E-Refund ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้จากการซื้อสินค้าและบริการ วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท
ความชัดเจนที่เกิดขึ้นวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากกว่าคาด (โครงการดิจิทัลวอลเล็ต +E-Refund) น่าจะเป็นบวกต่อกลุ่ม Domestics กลุ่มการบริโภคช่วยเพิ่มกำลังซื้อครอบคลุมทุกกลุ่มรายได้ (GLOBAL, CPN) และช่วยฟื้นเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อกลุ่มธนาคาร (KBANK)!!
บล.เอเซียพลัส ประเมินกลุ่มอุตสาหกรรมและตัวหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบาย Digital Wallet/E-refund มีดังนี้ กลุ่มท่องเที่ยว หุ้น CENTEL-ERW กลุ่มอาหาร หุ้น MINT-M-AU
กลุ่มห้างสรรพสินค้า หุ้น CPN กลุ่มการเงินและโฆษณา หุ้น KTC-AEONTS กลุ่มอุปโภคบริโภค หุ้น CPAXT-HMPRO-ADVANC-COM7-CRC-CPALL-BJC!!
อินเด็กซ์51