TRUE ปัดข่าวลือหุ้นกู้ ย้ำไม่มีปัญหาสภาพคล่อง จับตาแจ้งงบฯ วันนี้ โบรกฯ ลุ้นกำไรฟื้น

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TRUE แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีการชี้แจงถึงประเด็นกระแสข่าวลือในวานนี้ในเรื่องหุ้นกู้ โดยทรูแจงว่า การเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทซึ่งได้ผลตอบรับตามเป้าหมาย ตามที่มีข่าวจากบางสื่อที่สร้างความกังวลต่อตลาดทุน จากการออกหุ้นกู้ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ที่เสนอขายแก่ผู้ลงทุนทั่วไป เมื่อวันที่ 2-6 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 ที่ผ่านมา

บริษัทขอเรียนให้ทราบว่าการขายหุ้นกู้ครั้งนี้ประสบความสําเร็จดี แม้ภายใต้ความผันผวนของตลาดทุน โดยสามารถขายหุ้นกู้ได้ถึง 12,291.5 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ในวิสัย และประมาณการที่บริษัทตั้งไว้

ตลอดจนเป็นไปตามแผนการเงินของบริษัทที่มีการวางแผนไว้อย่างรอบคอบรัดกุม โดยได้คํานึงถึงแนวโน้มความต้องการของตลาดหุ้นกู้ในแต่ละช่วงเวลาด้วย จึงไม่มีผลอย่างใดต่อสภาพคล่องของบริษัท

ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยังมีวงเงินกู้สํารองที่เตรียมไว้จํานวนมาก โดยได้รับความเชื่อมั่น และการสนับสนุนจากสถาบันการเงินชั้นนําทั้งใน และต่างประเทศ ทั้งนี้เป็นไปตามแผนในการสร้างเสถียรภาพ และความเข้มแข็งทางการเงินของบริษัท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จํากัด ระบุคาดการณ์วันประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาสที่ 3/66 คาดว่า บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE จะมีการรายงานงบการเงินต่อตลาดหลักทรัพย์ในวันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2566 ด้วย

ขณะที่บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ยังคงคำแนะนำซื้อหุ้น TRUE ด้วยราคาเป้าหมาย 8.60 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรจะค่อยๆ ฟื้นตัว ในขณะที่หุ้นมีราคาถูก (EV/EBITDA ปี 67 ต่ำกว่าระดับก่อนควบรวมกิจการ 11%) ทั้งนี้ ในระหว่างวันที่ 2-4 ต.ค. ที่ผ่านมา เราได้พาคณะผู้บริหาร และหัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัทฯ ไปพบปะนักลงทุนสถาบัน 15 ราย ในประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งพบว่านักลงทุนกว่าครึ่งไม่ได้ติดตามบริษัทโทรคมนาคมไทยอย่างใกล้ชิดมาหลายปีแล้ว โดยนักลงทุนแสดงความสนใจมากขึ้นเมื่อพวกเขาได้รับทราบประเด็นการแข่งขันในตลาดที่ผ่อนคลายลง และเป้าหมาย synergy ของบริษัทฯ

พร้อมกันนี้คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในไตรมาส 3/66 และไตรมาส 4/66 เนื่องจากต้นทุนการรวมกิจการเพิ่งเริ่มเข้าสู่ขาขึ้น เราคาดการณ์ผลขาดทุนหลักในไตรมาส 3/66 ที่ 2.2 พันล้านบาท ซึ่งดีกว่าขาดทุนหลักในไตรมาส 2/66 ที่ 2.4 พันล้านบาทเล็กน้อย ซึ่งผลบวกจากรายได้ที่เติบโต อัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลง และการประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดจาก synergy จะถูกชดเชยด้วยผลลบจากต้นทุนในการควบรวมกิจการที่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 300 ล้านบาท เป็น 1 พันล้านบาท เกือบทั้งหมด

ทั้งนี้ เราคาดว่าการฟื้นตัวของผลประกอบการรายไตรมาสมีแนวโน้มที่จะเร่งตัวขึ้นในปี 67 เนื่องจากต้นทุนการควบรวมกิจการทรงตัวผนวกมูลค่า synergy และรายได้เฉลี่ยของผู้ให้บริการต่อลูกค้าหนึ่งคน (ARPU) ที่เพิ่มขึ้น.