บริษัท เงินติดล้อ จํากัด (มหาชน) หรือหุ้น TIDLOR แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประกาศผลประกอบการมีกําไรสุทธิสําหรับไตรมาส 3 ปี 2566 จํานวน 1,006.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% จาก 901.1 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน และสําหรับเก้าเดือนแรกของปี 2566 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ จํานวน 2,889.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2566 บริษัทฯ มีพอร์ตสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 91,888.0 ล้านบาท ขยายตัว 21.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบัตรติดล้อยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักสนับสนุนการเติบโตธุรกิจสินเชื่อ ซึ่งปริมาณการใช้งานบัตรยังคงขยายตัวได้ดี ในขณะที่ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยยังคงการเติบโตต่อเนื่อง โดยเบี้ยประกันวินาศภัยในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 25.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้เป็นอย่างดี สําหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 1.51% ลดลงเล็กน้อยจาก 1.54% ในไตรมาสก่อนหน้า
บริษัทฯ มีรายได้รวม 4,834.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมและลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น 22.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่เพิ่มขึ้น 24.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในขณะที่ค่าใช้จ่าย รวมจํานวน 3,574.2 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของธุรกิจ และต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ระดับ 55.4% ใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว สะท้อนถึงการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพรวมในงวดเก้าเดือน ปี 2566 พอร์ตสินเชื่อรวมและธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และต้นทุนด้านเครดิต (Credit Cost) อยู่ในทิศทางตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่ง การจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินเชื่ออย่างรัดกุม รวมถึงมีการตั้งสํารองในระดับที่เหมาะสมและเพียงพอเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และความเสี่ยงจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตพอร์ตอย่างมีคุณภาพภายใต้กรอบนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลกําไรได้ตามเป้าหมาย ในขณะที่ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของธุรกิจ และต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่ระดับ 55.4% ใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว สะท้อนถึงการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ