หุ้นไทย หนักเกิน 2 เดือน ร่วง 11.3% เอเซีย พลัส ชี้ ลงเยอะจริง หวังทุนต่างชาติสลับมาหนุน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

หุ้นไทย หนักเกิน 2 เดือน ร่วง 11.3% เอเซีย พลัส ชี้ ลงเยอะจริง หวังทุนต่างชาติสลับมาหนุน

Date Time: 30 ต.ค. 2566 10:37 น.

Video

วิธีเอาตัวรอดของ Wikipedia ไม่พึ่งโฆษณา ไม่มีค่าสมาชิก แต่อยู่มาได้ 23 ปี | Digital Frontiers

Summary

  • ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงอย่างหนัก จากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและฮามาส มีโอกาสที่สงครามจะขยายวงมากขึ้น ถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลดลงอย่างหนัก จากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับความไม่สงบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและฮามาส มีโอกาสที่สงครามจะขยายวงมากขึ้น ถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย


บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ในช่วง เดือน ก.ย.-ต.ค. ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับมาอยู่ที่ 1,388 จุด หรือลดลง 2 เดือนติดต่อกันกว่า -11.3% ซึ่งเป็นการลดลงลึกมาก หรือคิดเป็นระดับ Percentile 91.5% เมื่อเทียบกับระยะ 2 เดือน ตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยก่อตั้ง ซึ่งช่วงที่ลงหนักส่วนใหญ่จะเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติทั้งสิ้น อาทิ วิกฤติดอทคอม, ต้มยำกุ้ง, ซับไพร์ม, โควิด เป็นต้น ขณะที่ปัจจุบัน ถือว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยตกหนักเกินไป เมื่อเทียบกับแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรยังยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง


ขณะเดียวกัน วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวจาก 2 ปัจจัยหนุนช่วงสั้น ได้แก่ 1.) คาดหวังโมเมนตัมจากกระแสเงินลงทุนต่างชาติช่วงสั้น หลังจากต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิทุกตลาดในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งตลาดหุ้น 1.3 พันล้านบาท ตลาดตราสารหนี้ 5.9 พันล้านบาท และ ตลาดฟิวเจอร์ส 2.1 หมื่นสัญญา


และ 2.) หุ้นของบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น  DELTA รายงานงบไตรมาส 3/66 กำไรทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 5.4 พันล้านบาท เติบโต 32% จากปีก่อน หากเปรียบเทียบกับช่วงรายงานงบไตรมาส 2/66 ที่กำไร 4,668 ล้าน บาท ในวันเดียวราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นระหว่างวันสูงถึง 119.5 บาท จากราคาปิดวันก่อนหน้าที่ 109.5 บาท


อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังไม่ผ่านพ้นระยะความผันผวน โดยประเด็นที่จะสร้างความผันผวนอันดับแรก ได้แก่ สถานการณ์สงคราม อิสราเอล-ฮามาส โดยมีโอกาสที่สถานการณ์สงครามจะขยายวง ทั้งในส่วนพื้นที่สู้รบและผู้เข้าร่วมสงคราม โดยในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ไม่สู้ดี อีกเรื่องหนึ่งคือนโยบาย Digital Wallet ในบ้านเรา ซึ่งยิ่งนานวันยิ่งกลายเป็นประเด็นทางการเมืองมากขึ้น โดยในส่วนนี้จะมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 2567 รวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียน


ทั้งนี้ แม้ปัจจัยภายนอกยังมีความผันผวนจากสงคราม แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ย่อตัวมาลึกเกินไป จนราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ และเป็นไปได้ที่จะเห็นการปรับตัวขึ้นทางเทคนิค (Technical Rebound) ในการซื้อขายวันนี้ กลยุทธ์ยังคงแนะนำทยอยสะสมและ “Buy&Hold” กระโดดข้ามความผันผวนช่วงนี้ แนะนำลงทุนหุ้นบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM, บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP โดยวันนี้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่ระดับ 1,380-1,400 จุด


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ