เปิดสาเหตุหุ้นไทยร่วงหนัก สภาพคล่องต่ำสุดในรอบ 20 ปี ทรีนีตี้ เชื่อปี 67 หุ้นไทยเป็นขาขึ้น

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างหนัก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET หลุด 1,400 จุด ลดลงจากต้นปีมากกว่า -15% ส่งผลให้ดัชนี SET เป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในโลกในปีนี้ โดย บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ชี้ว่า การปรับตัวลดลงครั้งนี้ เป็นผลจากสภาพคล่องในประเทศที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี ทำให้ขาดแรงส่งให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว  

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ภาพของตลาดหุ้นไทยยังเจอความท้าทายอย่างหนัก ดัชนีปรับตัวลดลงจากต้นปี ปรับตัวลดลงมากกว่า 15% โดยเป็นผลจากสภาพคล่องในประเทศที่ลดลง จากสถิติพบว่า เงินสภาพคล่องแบบ M2 ในระบบเวลานี้ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยขาดแรงส่งที่จะช่วยให้หุ้นปรับเพิ่มขึ้นได้

“ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ที่ปรับตัวได้ไม่ดีนัก ส่วนหนึ่งเพราะสภาพคล่องในระบบของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยสภาพคล่องแบบ M2 ต่ำสุดในรอบ 20 ปี เมื่อเงินในระบบลดลง ก็ทำให้ขาดแรงผลักดันให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้น”

สภาพคล่องแบบ M2 นั้นสะท้อนความหมายปริมาณเงินตามความหมายกว้าง คือ สินทรัพย์ทางการเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เช่น เหรียญกษาปณ์ ธนบัตร เงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ และสินทรัพย์สภาพคล่องทั้งหมด  

โดยปัจจัยที่ทำให้สภาพคล่องในระบบนั้นหายไป เกิดจากมาตรการหยุดคิวอีของสหรัฐฯ และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED เกิดภาวะดึงเงินกลับออกจากประเทศ โดยในปีนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยแล้วกว่า 1.7 แสนล้านบาท และในขณะเดียวกัน ภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม สภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นอยู่กับทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะมีการพิจารณาอีก 2 ครั้งในช่วงสิ้นปี ซึ่งเรามองว่าจะไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกในปีนี้ และอีกปัจจัย คือ สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งปัจจุบันตลาดยังประเมินว่า ความขัดแย้งยังอยู่ในวงจำกัดและไม่ขยายวงกว้าง

สำหรับภาพของตลาดหุ้นไทยในปี 2567 บล.ทรีนีตี้ ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยจะพลิกกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยปัจจัยสำคัญจะมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่คาดว่าจีดีพีจะขยายตัว 3.6% ซึ่งประเทศไทยจะเป็นไม่กี่ประเทศที่มีการเติบโตของจีดีพี ปัจจัยหลักมาจากการท่องเที่ยวที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการใช้นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ช่วยสร้างกำลังซื้อในประเทศ ทั้งนี้ ผลการเติบโตเศรษฐกิจทำให้กำไรต่อหุ้นในปีหน้าจะอยู่ที่ 113 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากปีนี้ประมาณ 15% จะเป็นแรงดึงดูดสำคัญให้เงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้อีกครั้ง โดยประเมินดัชนีเป้าหมายในปีหน้าอยู่ที่ 1,560-1,650 จุด โดยหุ้นที่น่าจะได้รับผลดี คือ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มเฮลท์แคร์

จับตาการผิดนัดชำหนี้หุ้นกู้อาจมีอีก

สำหรับภาวะตลาดหุ้นกู้นั้นยังน่าห่วง โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ อาจจะเกิดบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้เกิดขึ้นอีก โดยให้ระมัดระวังในหุ้นที่มีการกู้เงิน หรือมีการออกหุ้นกู้จำนวนมาก อาจมีความเสี่ยงในการโรลโอเวอร์ที่ทำได้ยากขึ้น