เป็นที่น่าจับตาสำหรับบริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น ZAA หลัง ขันเงิน เนื้อนวล แร็ปเปอร์ชื่อดัง ได้นำทีมผู้บริหารปรับโฉมธุรกิจ หลังจากเข้าลงทุนใน "บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)" หรือ MPIC เพื่อไปสู่เป้าหมายการเป็นธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์ครบวงจร
ขันเงิน เนื้อนวล กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) หรือ ZAA กล่าวว่า การขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทมีเป้าหมายที่จะยกระดับสู่การเป็นเอนเตอร์เทนเมนต์แนวใหม่ครบวงจร ที่มีพันธมิตรด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ทั่วโลก เพื่อเพิ่มโอกาสนำไปสู่การลงทุนและทำธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็นเมกะเทรนด์โลก
ทั้งนี้ วางเป้าหมายในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะต้องเป็นผู้นำด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในปีหน้าจะเห็นภาพการรุกสู่ธุรกิจแนวใหม่ที่ครอบคลุมธุรกิจบันเทิงอย่างชัดเจน มีโปรเจกต์ใหม่ๆ ทั้งการจัดงาน Event ต่างๆ การจัดคอนเสิร์ต ที่มีศิลปินไทยและศิลปินระดับโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ครบทุกมิติ
ส่วนธุรกิจเดิม คือ ธุรกิจผลิตภาพยนตร์จะยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ โดยปลายนี้มีแผนที่จะเปิดตัวภาพยนตร์ใหม่อีก 1 เรื่อง คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากนี้บริษัทมีแนวคิดที่จะนำธุรกิจใหม่ๆ เข้าไปเชื่อมโยงต่อยอดกับธุรกิจเดิม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจเดิม
ขันเงิน กล่าวอีกว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม ZAA ในครั้งนี้จะส่งผลให้ผลการดำเนินของบริษัทมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายว่าปีหน้ารายได้ของบริษัทจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% โดยปีหน้าสัดส่วนรายได้จะมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ ธุรกิจภาพยนตร์ และธุรกิจบันเทิงรูปแบบใหญ่ เช่น การจัดอีเวนต์ คอนเสิร์ต ตลอดจนการให้การสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ โดยธุรกิจใหม่ดังกล่าว จะเริ่มในปี 2567 เป็นต้นไป
ด้าน จิรัชย์ วงษ์ตระหง่าน ประธานเจ้าหน้าท่ีบริหาร บริษัท ซาเล็คต้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธุรกิจการจัดงาน Event จะเป็นตัวช่วยส่งเสริมรายได้ของบริษัทให้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2567 โดยบริษัทวางเป้าหมายระดับสัดส่วนรายได้ในระยะยาวไว้ที่ 40% ของรายได้รวม ซึ่งปีหน้าคาดว่าจะมีการจัดงาน Event จำนวน 3-4 งาน
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจัดงาน Event แรก ขึ้นในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 เป็นงานคอนเสิร์ต ภายใต้ชื่อ “Southside fest” จัดขึ้นที่ภูเก็ต ซึ่งจะมีศิลปินฮิปฮอปกว่า 10 วง คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ มองว่าธุรกิจการจัดงาน Event จะสามารถรับรู้รายได้ ได้เร็วกว่าธุรกิจภาพยนตร์ และมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีกว่า โดยมองว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับราว 40-50%
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านโยบายรัฐเรื่องการสนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ จะเป็นส่วนช่วยในการสนับสนุนธุรกิจของบริษัท สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ “ขันเงิน” ที่ต้องการสร้างการเติบโตให้ศิลปินไทย มีชื่อเสียงและโด่งดังไปทั่วโลก
ส่วนธุรกิจภาพยนตร์ จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาสที่ 4/66 เชื่อว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน พร้อมกันนี้บริษัทมีภาพยนตร์ที่อยู่ในแผนอีก 4-5 เรื่อง ซึ่งจะทยอยเข้าฉายในปี 2567 เป็นต้นไป