เลขาฯ รมว.คลัง ลั่น ไม่มีนโยบายเก็บ “ภาษีขายหุ้น” มั่นใจเศรษฐกิจโต จัดเก็บรายได้ตามเป้า

เผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ยังไม่มีนโยบายจัดเก็บภาษีขายหุ้นอย่างแน่นอน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตลาดหุ้นของไทย 

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ขอชี้แจงทิศทางของตลาดทุนไทยที่ต้องการเห็นคือ

1. อยากเห็นตลาดทุนไทยมีสภาพคล่องสูง และมีเสถียรภาพ
2. มีปริมาณการซื้อขายที่สูงและมีคุณภาพ
3. เป็นแหล่งดึงดูดนักลงทุน และบริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียน โดยในแง่ของนักลงทุนนั้น ตลาดทุนจะต้องเป็นที่น่าสนใจ มีความสามารถในการแข่งขัน และมีกฎระเบียบที่ผ่อนปรน เอื้อต่อการลงทุน  และในแง่ของบริษัทจดทะเบียนต้องการเห็นตลาดทุนไทย เป็นตลาดที่สามารถแข่งขันได้กับตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะแข่งขันได้กับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
4. เป็นตลาดที่มีต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำ เป็นอิฐก้อนแรกในระบบเศรษฐกิจ เพราะถ้าบริษัทมีต้นทุนการเงินที่ต่ำ ก็จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัว

“กระทรวงการคลัง จำเป็นต้องมีนโยบายต่อตลาดที่เหมาะสม ดังนั้นกระทรวงการคลัง จึงยังไม่พิจารณา นโยบายการจัดเก็บภาษีขายหุ้น  ซึ่งจะช่วยให้ตลาดเกิดความสบายใจและมีเสถียรภาพ และต้องการให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถเติบโต และเป็นอิฐก้อนแรกในระบบเศรษฐกิจ สร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยเอกชน”  

ทั้งนี้หากไม่มีการจัดเก็บภาษีขายหุ้น กระทรวงการคลังยังเชื่อว่า ยังสามารถจัดเก็บรายได้ ได้ตามเป้าหมาย โดยมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี โดยที่ยังไม่นับรวมผลกระทบจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ให้ประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท 

คลังยืนยัน ให้ความสำคัญเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บภาษี

พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวยืนยันว่า ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิ งบประมาณรายจ่าย ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง ยังเป็นตัวเลขเดิม โดยประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิ งบประมาณรายจ่าย และขาดดุลการคลังของปีงบประมาณ 2567 ภายใต้ MTFF 2567-2570 ฉบับทบทวน เท่ากับ 2.78 ล้านล้านบาท 3.48 ล้านล้านบาท และ 693,000 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2566

ขณะเดียวกัน สำนักงบประมาณนำตัวเลขงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ตาม MTFF 2567-2570 ฉบับทบทวน มาดำเนินการตามขั้นตอนของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 2566 และกระทรวงการคลังได้วางแผนการบริหารจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลเพื่อให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้เป็นหลัก 

ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาหน่วยงานจัดเก็บรายได้ในสังกัดกระทรวงการคลังได้มีการพัฒนาระบบต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดเก็บรายได้อย่างต่อเนื่อง มีการใช้เทคโนโลยีในการติดตามและตรวจสอบการจัดเก็บภาษีเพื่อขยายฐานภาษี ทำให้การวางแผนการจัดเก็บเป้ารายได้ของปีงบประมาณ 2567 จะสามารถเป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ 

อีกทั้งมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567 ก็จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและส่งเสริมให้เศรษฐกิจมีการเติบโต ซึ่งจะส่งผลให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจที่มากขึ้นด้วย โดยยังไม่มีการนำนโยบายภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องในทางปฏิบัติ